Sorry… Too many mind. Mind the sword. Mind the people watching. Mind the enemy.

Too many mind. No mind.

Nobutada – The Last Samurai

The Last Samurai เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่ผมดูซ้ำ ด้วยความที่ชอบหนังย้อนยุค และชอบทุกอย่างเกี่ยวกับซามูไรทำให้หนังเรื่องนี้ติดอันดับหนังในดวงใจของผมแบบไม่มีข้อสงสัย

ส่วนเหตุผลที่ดูซ้ำรอบนี้ ไม่มีอะไรมากครับ ยังอินกับ Top Gun Maverick ไม่หาย ถ้าท่านยังไม่ได้ไปดูในโรง ผมอยากจะบอกว่า Top Gun Maverick น่าจะเป็นหนังที่ดีที่สุดที่ผมได้ดูมาโรงหนังตั้งแต่จำความได้เลย ดูไปยิ้มไป ดูไปความทรงจำเก่าๆก็หวนกลับมาให้คิดถึง มันยอดมาก

กลับมาที่ The Last Samurai

เป็นอีกครั้งที่ผมได้อะไรใหม่ๆจากประโยคเดิมๆ ตอนที่นาธาน อัลเกรน (ทอม ครูซ) ซ้อมดาบกับซามูไรพ่อหมีแล้วแพ้ โนบุทาดะลูกชายของหัวหน้าคัตซึโมโตะก็วิ่งเข้ามาบอกเขาว่า 

“ขอโทษนะครับ… คิดมากเกินไป คิดถึงดาบ คิดถึงคนดู คิดถึงศัตรู คิดมากไป หยุดคิด”

ผมถึงกับวิ่งไปหยิบ Post-It มาเขียนสิ่งที่โนบุทาดะพูดแปะไว้บนหน้าจอคอมที่ใช้ทำงานทันที เอาไว้เตือนตัวเองเวลาคิดมากเกินไปในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้เหมือนเป็นป้ายบอกทางบนถนนสู่ความสำเร็จที่ผมกำลังเดิน

และถ้าถนนแห่งความสำเร็จมีอยู่จริง ผมมั่นใจว่ามันคงเป็นถนนที่มี Post-It แบบนี้เป็นป้ายบอกทางเต็มไปหมดแน่ๆ และสิ่งที่โนบุทาดะพูดจะต้องเป็นป้ายๆหนึ่งที่เด่นมากๆที่อยู่แถวต้นถนนอย่างแน่นอน

บทความนี้ผมอยากจะแบ่งปันป้ายที่ผมเห็นและอินบนถนนสู่ความสำเร็จ ผมเองก็เหมือนกับท่านที่ยังคงเดินอยู่บนถนนเส้นนี้ และก็เดินผ่านป้ายมามากมายที่ทั้งทรงพลัง เตือนใจ เปิดกะโหลก และทำให้ตาสว่างทันที

ต่อไปนี้คือป้ายบอกทางบนถนนสู่ความสำเร็จที่สร้างผลกระทบในเชิงบวกให้ชีวิตผมตลอดเวลาที่ผ่านมาครับ

1. คิดมากเกินไป คิดถึงงาน คิดถึงคนรอบตัว คิดถึงคู่แข่ง คิดมากไป หยุดคิด

การคิดมากเกินไปส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้ามากกว่าที่ท่านคิด เพราะส่วนใหญ่สิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดของเราเวลาที่กำลังไล่ตามเป้าหมายหรือความฝันคือ ความกลัว ความกังวล ความสงสัย

มนุษย์เราถูกปลูกฝังโดยไม่รู้ตัวให้คิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนเสมอ ซึ่งมันขัดแย้งกับหลักความสำเร็จในหนังสือ As a man thinketh ที่อยู่ในชุด นอร่าที่รัก ที่บอกว่า “มนุษย์จะเป็นไปดั่งความคิดที่เขามีอยู่ในหัวใจ

เราปรารถนาความสำเร็จแต่เราคิดเรื่องที่เราไม่ต้องการตลอดเวลา 

ดังนั้นหยุดคิด…

มันไม่ง่ายหรอก แต่เป็นไปได้ แค่ต้องอาศัยการฝึกฝน

2. รับผิดชอบความฝันของตัวเอง

ยิ่งท่านออกเดินทาง ท่านจะยิ่งเข้าใจว่าการชี้นิ้วโทษคนอื่นหรือรอให้ใครทำอะไรไม่ใช่คำตอบ

ความฝันของท่าน มีท่านเท่านั้นที่สามารถรับผิดชอบได้ แทนที่จะโฟกัสคอยดูว่าจะมีใครช่วยอะไรเราไหม กลับมาโฟกัสที่ทัศนคติ ความสามารถ การกระทำ และวินัยของตัวเองดีกว่า

รับผิดชอบความฝัน เป้าหมาย และความสุขของตัวเองเริ่มต้นวันนี้เลย

3. อะไรที่มันเกิดขึ้นแล้วดีเสมอ

นี่ไม่ใช่การคิดบวก และไม่ใช่การปลงชีวิต แต่อะไรที่มันเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะไปอาลัยอาวรณ์มัน ไม่มีประโยชน์ที่จะทำร้ายหรือกล่าวโทษตัวเอง ยิ่งยึดยิ่งเจ็บปวด

เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น ทำความเข้าใจให้เกิดปัญญาว่าทำไมมันถึงเกิด และก้าวต่อไป รู้เอาไว้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือรากฐานของอนาคตที่กำลังตามมา

4. อยู่ในกระแสของความกตัญญูรู้คุณในทุกๆวัน

สำหรับผมความกตัญญูรู้คุณสำคัญมาก ไม่ว่าจะกตัญญูต่อพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด พ่อแม่ครูอาจารย์ผู้ประสาทวิชา สถาบันการศึกษา หรือแม้แต่ผู้มีพระคุณผู้หยิบยื่นหนทางและความช่วยเหลือ

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผมความกตัญญูเปรียบเหมือนคาถาแคล้วคลาด ต่อให้วิกฤติสักแค่ไหนในชีวิต หากเราอยู่ในกระแสของความกตัญญูรู้คุณอยู่เป็นประจำ จะมีมือยื่นมาช่วยเหลือเราเสมอ

เรื่องของความกตัญญูไม่ได้เป็นเรื่องที่พูดแค่ในประเทศไทยหรือวัฒนธรรมของคนเอเชีย

The Science of Getting Rich (Visual Book) คือหนังสือที่พูดถึงเรื่องความกตัญญูได้ชัดเจนและมีเหตุผลที่สุดแล้ว

5. หัวเราะกับตัวเองให้เป็นนิสัย

ครั้งสุดท้ายที่ท่านหัวเราะแบบจริงจังน่ะเมื่อไหร่? ถ้าคำตอบคือเมื่อวานเอง เยี่ยมมาก แต่ถ้านานกว่านั้นผมเกรงว่ามันจะไม่ดีต่อสุขภาพ

การที่ท่านจริงจังกับงานหรือเป้าหมายเป็นเรื่องที่สูงส่งน่ายกย่อง แต่ท่านไม่ควรจริงจังกับตัวเองมากจนเกินไป

ความสำเร็จคือการเดินทาง ไม่มีใครอยากร่วมทางกับคนที่ตึงตลอดเวลา

6. ออกจากเขตสบายและกระโจนเข้าหาความเสี่ยงบ้าง

เงื่อนไขหนึ่งของการเติบโตและก้าวไปข้างหน้าคือ ท่านต้องกล้าที่จะเริ่มการผจญภัยในดินแดนที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน เพราะที่แห่งนั้นคือที่ๆท่านจะได้ค้นพบตัวตนและศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง

เมื่อท่านตัดสินใจออกจากเขตสบาย มาใช้ชีวิตในเขตที่มันท้าทาย ไอเดีย วิสัยทัศน์ การปิ๊งแว๊บจะเกิดขึ้นจนท่านประหลาดใจ

7. หยุดขออนุญาตชาวบ้านทุกฝีก้าว

ถามตัวเองตอนนี้เลยว่า กล้าที่จะทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเองแม้ว่าสิ่งนั้นคนรอบตัวจะไม่เห็นด้วยแล้วหรือยัง? 

มันโอเคนะที่จะขอคำแนะนำหรือความคิดเห็น แต่วินาทีที่ท่านยอมให้คำแนะนำนั้นเป็นโซ่ตรวนที่คอยถ่วงไม่ให้ไปข้างหน้า ท่านไม่ได้กำลังขอคำแนะนำ ท่านกำลังขออนุญาตอยู่

8. จงซื่อสัตย์แม้ไม่มีใครเห็น

ความสำเร็จต้องการความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาวทั้งต่อตัวเอง ต่อธุรกิจ ต่อลูกค้า และต่อสังคม ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยหากบกพร่องเรื่องความซื่อสัตย์และจริงใจ

ความจริงที่ท่านต้องทำความเข้าใจอีกครั้งคือ ท่านจะได้รับในสิ่งที่ส่งออกไปเสมอตามกฎ Action = Reaction

หากต้องการความซื่อสัตย์จริงใจจากผู้อื่น จงเริ่มต้นที่จะปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความซื่อสัตย์

9. รักษาสัจจะด้วยชีวิต

เรื่องของสัจจะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและทรงพลัง มันจะส่งผลต่อทุกอย่างในชีวิตของท่านไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ความสัมพันธ์ ธุรกิจการงาน และความสำเร็จ

การรักษาสัจจะไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามสามารถเพิ่มคุณค่าและความมั่นใจให้ท่านได้ กลับกันการผิดสัจจะคือการลดคุณค่าและความมั่นใจของท่าน

ในฐานะที่ทำงานด้านการใช้คำพูดมาหลายปี ผมอยากจะยืนยันว่า “คำพูด” ของท่านมีพลังมากกว่าที่ท่านคิด ผมเห็นกับตาคนที่ชีวิตค่อยๆดิ่งลงเหวเรื่อยๆเริ่มต้นจากการเสียสัจจะเล็กๆน้อยๆแล้วค่อยๆลามใหญ่ขึ้นจนท้ายที่สุดแทบไม่เหลืออะไรเลย เสียทั้งเงิน เสียทั้งความน่าเชื่อถือ เสียทั้งความสุข ทั้งหมดเริ่มจากการผิดคำพูดเล็กๆน้อยๆ

ข่าวดีคือ เกมนี้สามารถพลิกได้ทันทีด้วยการกลับมารักษาสัจจะ

ลองกลับมารักษาสัจจะดู ชีวิตที่มันขึ้นๆลงๆอาจจะพลิกเลยก็ได้

10. คนเดียวในโลกที่ท่านเปลี่ยนแปลงได้และได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงคือ ตัวของท่านเอง

ผมเข้าใจอารมณ์นะ เวลาที่เราอ่านหนังสือดีๆ หรือได้ยินอะไรที่ฟังแล้วฮึกเหิมเกิดแรงบันดาลใจ เราย่อมอยากให้คนใกล้ตัว เพื่อนร่วมงาน หรือคนที่เรารักได้อ่านหรือได้ยินด้วย

แต่คำถามคือ รู้ได้อย่างไรว่ามันจะดีต่อเขา? เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่เป้าหมาย วิถีชีวิต ความถนัด และความเชื่อของมนุษย์คนไหนจะเหมือนกัน

คนเดียวที่ท่านมีสิทธิเต็มที่ในการเปลี่ยนแปลงคือ ตัวของท่านเอง

11. อย่าไปคนเดียว หยิบยื่นโอกาสให้คนอื่นด้วย

ท่านน่าจะรู้ดีว่าการที่มาถึงจุดนี้ได้ ก็เพราะมีใครบางคนเชื่อมั่นในตัวท่าน ให้กำลังใจท่าน และคอยสนับสนุนท่าน ดังนั้นอย่าลืมส่งต่อสิ่งดีๆเหล่านี้ให้คนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส เพราะท่านไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเมื่อไหร่ที่ท่านจะต้องการความช่วยเหลือบ้าง

หวังว่าทั้ง 11 ป้ายจะเป็นประโยชน์นะครับ ในอนาคตถ้าผมเดินไปเจอป้ายบอกทางเพิ่ม ผมจะเอามาเล่าให้ฟัง

อ้อ… เกือบลืมบอกไป ถนนแห่งความล้มเหลวเองก็มีป้ายแบบนี้เหมือนกันนะ ดังนั้นโปรดระวัง

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

ปล. ทุกวันผมส่งอีเมลแบ่งปันเทคนิค ประสบการณ์ และแนวคิดเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การทำการตลาด การขาย การเขียน Copywriting รวมไปถึงเรื่องความสำเร็จ จิตใต้สำนึก และประสบการณ์สายมู ถ้าถูกจริตกับสิ่งที่ผมเขียนและชอบของแปลกสามารถ Subscribe ได้ที่ >> https://theerathorn.com/

ลูกชายคนแรกของผมเพิ่งอายุครบ 3 ขวบเต็มๆไปเมื่อเดือนก่อน ใจอยากจะเขียนบทความนี้ตั้งแต่ตอนที่เขาอายุครบ 1 ขวบเพื่อเตือนตัวเองหลายๆอย่างเพราะได้เรียนรู้อะไรมากจริงๆ แต่สุดท้ายก็ได้เขียนตอนเขาอายุ 3 ปีกับอีก 1 เดือน

3 ปีที่ได้เป็นคุณพ่อเต็มเวลาสมใจ มีครบทุกรสชาติ มีสุข มีทุกข์ มีหงุดหงิด มีแอบน้อยใจ แต่สุดท้ายเมื่อเอาทุกอย่างบวกลบคูณหารกัน คำตอบที่ได้คือ ชีวิตที่ได้รับการเติมเต็ม

ผมกับภรรยาคุยกันบ่อยๆว่า ตั้งแต่มีลูกเรานึกย้อนกลับไปตอนก่อนที่จะมีลูกไม่ออกแล้ว แปลกมาก ราวกับว่าพอมีลูกปุ๊บทุกอย่างถูก Reset และมีภาพของลูกอยู่ด้วยตลอด (ฟังดูเว่อร์แต่ผมรู้สึกกันแบบนั้น) แต่เหนือสิ่งอื่นใดตั้งแต่มีลูกผมได้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตมากขึ้นอีกเยอะ

และต่อไปนี้คือ 50 สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการเป็นพ่อคน ครับ

(หมายเหตุ – ไม่ได้เรียงลำดับความสำคัญของบทเรียนที่ได้รับ)

1. การมีลูกช่วยให้ผมเข้าใจพ่อแม่ของผมมากขึ้น ลูกช่วยให้ผมเริ่มจะเข้าใจหัวอกและการกระทำแปลกๆบางอย่างของพ่อแม่ผม เพราะผมเองก็เริ่มจะทำแบบนั้น

2. การพูดคำว่า “รักลูก” ที่ทรงพลังและสัมฤทธิ์ผลที่สุดคือ การใช้เวลากับเขา

3. ลูกเห็นและได้ยินทุกอย่าง แม้ตอนที่เราคิดว่าเขาหลับไปแล้ว ระวังคำพูดและการกระทำให้ดี

4. ลูกเรียนรู้จากการกระทำของเรา ถ้าอยากสอนอะไรลูกให้ได้ผล ทำให้ดูเป็นแบบอย่างและทำให้สม่ำเสมอ

5. ลูกไม่จำสิ่งที่เราพูด แต่จะจำวิธีที่เราพูด ซึ่งรวมไปถึงน้ำเสียง ท่าทาง และความรู้สึกตอนที่เราพูด

6. เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ข้อมูลต่างๆตามเพจเลี้ยงลูกหรือเวบไซต์คือแหล่งอ้างอิงชั้นดี แต่คู่มือการเลี้ยงลูกที่ดีที่สุดในโลกอยู่บนใบหน้า น้ำเสียง และท่าทางของลูก

7. มื้ออาหารที่ดีที่สุดคือมื้อที่มีคนอยู่พร้อมหน้าแม้อาหารไม่เต็มโต๊ะ ไม่ใช่อาหารเต็มโต๊ะแต่ไม่มีคนกินด้วย

8. ผมรู้สึกว่าชีวิตหลังมีลูกเรียบง่ายขึ้น แต่ไม่ได้ง่ายขึ้น

9. ประสบการณ์ที่ใกล้เคียงการขึ้นสวรรค์ที่สุดคือ ตอนที่ลูกยอมหลับอยู่บนไหล่หรือในอ้อมแขน สำหรับผมมันคือความสุข ความภูมิใจ และชัยชนะ ฮ่าๆ

10. เวลาที่เหนื่อย ท้อ หรือเจอปัญหา การได้เห็นหน้าลูกไม่ว่าจะเป็นตอนหลับหรือตอนตื่น ในรูปถ่ายหรือตัวจริง ความเหนื่อย ความเหี่ยว ความท้อมันหายไปจริงๆ

11. ลูกรู้ความรู้สึกนึกคิดของเรา พลังงานของเราส่งผลต่อลูก เราเหี่ยวลูกก็เหี่ยว เราสุขลูกก็สุข ดังนั้นควบคุมพลังงานของตัวเองให้ดี

12. การเลี้ยงลูกควรอยู่บนทางสายกลาง กฎมีได้ ระเบียบมีได้ แต่อย่าให้มันมากกว่าความรัก ความใส่ใจ และความเมตตา

13. วันที่ลูกเริ่มดื้อเริ่มก้าวร้าว หายใจลึกๆ อย่าเพิ่งดุ ด่า หรือลงโทษทันที หันมาดูตัวเองก่อน ลูกคือกระจกส่องพฤติกรรมที่ผ่านมาของเรา ถามตัวเองว่าที่ผ่านมาเราใส่ใจลูกไหม? เราใช้เวลากับเขาจริงๆไหม? เราอยู่กับเขาแค่ตัวแต่ใจอยู่ที่อื่นและมือกดมือถือตลอดไหม? ถ้าคำตอบคือ ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้ใช้เวลา ไม่ได้อยู่กับเขาจริงๆ ลองปรับดูก่อน มันใช้เวลาไม่นานหรอก เชื่อผม

14. ถ้าข้อบนไม่ได้ผล งดทีวี งดขนม สร้างวินัย จัดตารางเวลาให้ลูก แล้วใช้เวลากับเขาให้มากขึ้น ถ้า 2 เดือนไม่หาย หาผู้เชี่ยวชาญดีกว่า

15. จริงอยู่ที่ Ipad มือถือ และ TV ช่วยให้ลูกไม่กวน เปิดช่องให้พ่อแม่ได้หายใจ แถมเขาได้เรียนรู้เพลงและอะไรอีกมากมาย แต่ข่าวร้ายคือ Ipad มือถือ และ TV ส่งผลต่อพัฒนาการทุกด้านของลูก ข่าวดีคือ มันแก้ไขได้ไม่ยาก แค่หักดิบ ระวังลูกจะรู้ทุกอย่าง แต่เหมือนไม่รู้อะไรเลย

16. ลูกจะให้อภัยเราเสมอ จนกว่าที่เขาจะไม่ให้อภัย อย่าไปให้ถึงตรงนั้น

17. ของเล่นที่ลูกชอบที่สุดมักไม่ใช่ชิ้นที่แพงที่สุด และมักไม่ใช่ชิ้นที่เราคาดคิด บางทีซื้อของตั้งเยอะลูกเล่นกระดาษห่อ หนังสติ๊ก และอะไรที่มันมากับของเล่นที่ไม่ใช่ของเล่นแทน

18. ลูกไม่ใช่ที่ฝากความหวัง ถ้าตัวเองทำไม่ได้อย่าไปคาดหวังกับลูก ให้เขาไปมีความหวังความฝันของตัวเอง

19. ลูกไม่ใช่ของเรา เขามีชีวิต จิตใจ จิตวิญญาณของตัวเอง ชาติที่แล้วเขาอาจเป็นพ่อเป็นแม่เราก็ได้ อย่ายึดให้มันมาก ประสาทจะเสียเปล่าๆ

20. เราไม่ได้เลือกลูก ลูกเลือกเรา ไม่ว่าจะด้วยกรรม เวร หรือความไว้ใจ เขาเลือกเรา อย่าเข้าใจผิด ลองดูสิบางคู่พยายามตั้งนานไม่มา บางคู่ไม่พยายามก็มา

21. หน้าที่ของพ่อแม่คือ สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดเท่าที่กำลังจะไหว จากนั้นให้เขาเลือกทางของเขาเอง

22. พ่อแม่ไม่ต้องพยายามทำตัวเป็นฮีโร่ เพราะทุกย่างก้าวและการกระทำของพ่อแม่คือฮีโร่ของลูกอยู่แล้ว

23. ถ้าไปเจอใครที่บอกว่าหลังลูกอายุ 3 เดือนจะเบาขึ้น Unfriend / Unfollow มันไป มันไม่เบาขึ้นหรอก แต่มันคุ้มค่าทุกวินาที

24. สักวันลูกจะต้องโต และไม่ยอมให้เรากอด หอม แกล้งแบบนี้ เราทำได้แค่ตักตวงช่วงเวลานี้ให้มากที่สุด

25. ช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดคือ ช่วงเวลาที่เราพลาดไป

26. เราปกป้องลูกตลอดไปไม่ได้ เราทำได้แค่รัก สอน เฝ้ามอง และปล่อยให้เขาเติบโต เพราะวันหนึ่งเขาต้องออกไปเผชิญโลกที่อาจไม่เป็นมิตรกับเขา

27. ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ใช้เฉพาะกับพ่อแม่รักลูกเท่านั้น ลูกเองก็รักเราแบบไม่มีเงื่อนไขเช่นกัน

28. ลูกโตเร็วเกินไป (จริงๆนะ เฮ่อ)

29. อย่าโทษตัวเองถ้าวันนี้ยังรู้สึกว่าให้ในสิ่งที่ดีที่สุดไม่ได้ ไม่มีใคร Perfect คุณทำดีที่สุดแล้ว ข้อพิสูจน์คือรอยยิ้มของลูกที่มอบให้คุณ ดื่มด่ำกับมันแล้วไปต่อครับ

30. การมีลูกช่วยให้ผมเข้าใจหัวอกพ่อแม่ที่ลูกแหกปากดีดดิ้นในร้านอาหารและที่สาธารณะมากขึ้นนิดนึง (นิดนึงเท่านั้น เพราะตาชั่งข้อ 4 และ 13 มันมีน้ำหนักมากกว่า)

31. เช็ดตูดลูกมีความสุขมากกว่าที่คิด

32. ป้อนข้าวแล้วลูกยอมกินก็ด้วย

33. แต่ทำอาหารแล้วลูกยอมกิน อันนี้ถึงจะดีใจมากแต่ความกังวลเรื่องสุขภาพของลูกมีมากกว่า (กลัวลูกท้องเสีย)

34. ของขวัญที่ดีที่สุดที่ให้ลูกได้คือ ให้เขามีความคิด มีชีวิต และมีอารมณ์ความรู้สึกเป็นของตัวเอง

35. ยิ่งมีลูกมาก ยิ่งรวย อย่าคิดว่าลูกเป็นภาระ จะคิดลบไปทำไม คิดบวก คิดว่าลูกคือแรงผลักดันให้เรายิ่งสำเร็จ (อันนี้ดร.แสงสุข เจ้าของ Smooth E ผู้เขียนหนังสือ Mindful Entrepreneur บอกผมตอนกินข้าวด้วยกัน)

36. ลูกสอนให้เราสร้างสรรค์ สอนให้เราดึงจินตนาการแฝงที่ซ่อนเร้นอยู่ออกมาใช้อย่างไร้ขีดจำกัด

37. ใครที่บอกว่าเลี้ยงลูกแล้วไม่เจอปัญหา ลูกไม่ดื้อ อย่าไปเปรียบเทียบเด็ดขาด ไม่มีใครรู้ว่ามันมีความจริงซ่อนอยู่ในประโยคเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหน

38. การเปรียบเทียบคือการขโมยความสุขของตัวเอง และมันจะขโมยความสุขของลูกด้วย อย่าหาทำ

39. พึงระลึกไว้เสมอว่า เวลาที่อุ้มลูก ครั้งนั้นอาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ อยู่ดีๆลูกอาจจะโตเกินไป ไม่อยากให้อุ้มอีกแล้ว หรือคุณเองอาจจะไม่แข็งแรงพอ ดังนั้นเก็บความทรงจำนี้ไว้ให้ดีๆ

40. การอุ้มลูกแต่ละครั้งมันมีค่าสำหรับทั้งลูกและพ่อแม่

41. ทุกเรื่องไม่ดีที่ลูกทำคือโอกาสให้เขาเติบโต โอกาสที่ทั้งลูกและพ่อแม่จะได้เติบโต ลูกจะได้เรียนรู้ว่าอะไรถูกหรือผิด ทำอะไรแล้วปลอดภัย ทำอะไรแล้วเจ็บตัว พ่อแม่จะได้เรียนรู้เรื่องการปล่อยวาง ทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ที่มุมมองและการตอบสนอง

42. ถ้าคุณลงโทษ ดุด่า ว่ากล่าว หรือปกป้องลูกทุกครั้งที่เขาทำผิดพลาด เขาจะกลัวที่จะล้มเหลว กลัวที่จะเริ่มต้น กลัวที่จะลองอะไรใหม่ๆ ถ้าคุณอยากให้ลูกประสบความสำเร็จและมีความสุข อย่าให้ลูกรู้สึกว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องไม่ดี

43. เวลาส่วนตัวของคุณสำคัญมาก เวลาที่จะได้อยู่นิ่งๆ ใช้เวลากับตัวเอง ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ผมบอกเลยว่าพ่อแม่ทุกคนจำเป็นต้องมี ห้ามรู้สึกผิดเด็ดขาดที่จะใช้เวลานี้ การเลี้ยงลูกคือการบริหารพลังงาน ถ้าอยากเลี้ยงลูกให้ดีอย่าปล่อยให้ตัวเองป่วยหรือหมดแรง ดูข้อ 11 อีกครั้ง

44. เหรียญมีสองด้าน คนที่เลี้ยงลูกคนเดียวหรือเลี้ยงกันเองไม่มีคนช่วยอาจอิจฉาหลายๆคนที่มีญาติผู้ใหญ่มาช่วย ในทำนองเดียวกันคนที่มีญาติผู้ใหญ่มาช่วยก็อิจฉาคนที่เลี้ยงลูกคนเดียวที่มีอิสระในการสอนลูกโดยไม่ต้องเกรงใจใคร ทั้งนี้ทั้งนั้นจงพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี และอย่าได้ลังเลที่จะเลือกทางที่ดีที่สุดให้ลูก

45. อย่าคิดว่าคนอื่นจะรู้จักลูกของเราดีเท่าเรา อย่าเกรงใจที่จะต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก ไม่ว่าคู่ต่อสู้ของเราจะดูน่ากลัวแค่ไหนก็ตาม เช่นพ่อแม่ พ่อตาแม่ยาย เพื่อนสนิท หรือญาติผู้ใหญ่ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็ตาม

46. การเลี้ยงลูก ไม่ว่าจะเป็นอุ้มลูก อาบน้ำ ป้อนข้าว เปลี่ยนแพมเพิส เช็ดก้น เช็ดอ้วก อุ้มกล่อม รับมือตอนร้องไห้งอแง ดูแลตอนไม่สบาย ทำแผล และสารพัดที่เคยกลัว มันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ลูกจะเป็นคนบอกเองถ้าเราทำอะไรไม่ถูก ดังนั้นเลี้ยงลูกไม่เป็นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ช่วยเลี้ยงลูก

47. มันไม่แปลกเลยแม้แต่นิดเดียวถ้าลูกจะติดและรักแม่มากกว่าพ่อ เขาอยู่ด้วยกันมาตั้ง 9 เดือน เขาสร้างความรัก ความผูกพัน ความสัมพันธ์กันมา 9 เดือน ถ้าอยากให้ลูกรัก อยากให้ลูกสนใจ รักแม่ของลูกให้เยอะๆ มันเป็นวิธีเดียว

48. ลูกโตมากกว่าที่เราคิด อย่าคิดว่าคุยกับเด็ก คิดซะว่าคุยกับผู้ใหญ่ตัวเล็ก เขารู้เรื่องระดับนั้นแหละ

49. อย่ารู้สึกแย่ถ้ารู้สึกว่าลูก “พัฒนาการช้า” หรือ “โตช้า” แล้วไงล่ะถ้าลูกยังไม่พูดในขณะที่เพื่อนพูดได้ แล้วไงล่ะถ้าลูกยังกินนมแม่อยู่ ในขณะที่เพื่อนดูดนมจากกล่องได้ แล้วไงล่ะถ้าลูกยังปีนป่ายไม่คล่องหรือเดินไม่ค่อยจะตรง เขาไม่ได้พัฒนาการช้า เขาแค่พัฒนาการไม่ตรงตามความคาดหวังของเรา ไม่มีเด็กคนไหนเก่งทุกเรื่อง และไม่มีเด็กคนไหนไม่เก่งเลยสักเรื่อง สังเกตดูดีๆลูกของคุณมีจุดเด่นของเขา

50. ลูกชอบและต้องการ “ตารางเวลา” ของตัวเอง ข้อสุดท้ายนี้สร้าง Impact มากที่สุดให้ครอบครัวของผม การมีตารางเวลาที่ชัดเจนและวินัยในการรักษาเวลาช่วยให้ลูกและพ่อแม่เติบโตไปพร้อมกัน การที่ผมและภรรยาเริ่มให้ลูกมีตารางเวลาของตัวเองตั้งแต่อายุ 6 เดือนช่วยให้ลูกมีระเบียบวินัย รู้คุณค่าของเวลา และมีพื้นที่ในการเติบโตใช้ชีวิตเยอะมาก

ตอนแรกก่อนที่ผมกับภรรยาจะเริ่มต้นจัดตารางเวลาที่ชัดเจนให้ลูก เรากังวลว่า เวลาที่เราจัดจะไปปิดกั้นหรือตีกรอบให้ลูกมากเกินไปไหม? แต่หลังจากผ่านไป 2 ปีกว่า ผมกล้าพูดเลยว่า การจัดตารางเวลาให้ลูกและช่วยเขารักษาตารางเวลานั้นช่วยเพิ่มพื้นที่ในการเติบโตให้ลูกอย่างมาก

ตั้งแต่มีตารางเวลา ลูกชายของผมมีความสุขมากขึ้น เล่นสนุกมากขึ้น นอนง่ายขึ้น และมีเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า มันไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความประทับใจร่วมกับลูก โดยเฉพาะในตอนที่เขาอายุยังน้อยอยู่

หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

ปล. ทุกวันผมส่งอีเมลแบ่งปันเทคนิค ประสบการณ์ และแนวคิดเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การทำการตลาด การขาย การเขียน Copywriting รวมไปถึงเรื่องความสำเร็จ จิตใต้สำนึก และประสบการณ์สายมู ถ้าถูกจริตกับสิ่งที่ผมเขียนและชอบของแปลก Subscribe ได้ที่ >> https://theerathorn.com/

หนึ่งในเหตุผลที่ผมหยุดรับงานเขียน Copywriting ก็เพราะความคาดหวังของว่าที่ลูกค้า กับหลักการของผมไม่ตรงกัน

เพราะนอกจากว่าที่ลูกค้าจะคาดหวังผลลัพธ์ อนาคต และทุกสิ่งอย่างจากผมแล้ว ซึ่งเชื่อเถอะว่าเขาคาดหวังได้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ยังคาดหวังที่จะเห็นผลลัพธ์ของลูกค้าที่ผ่านมาของผมเพื่อความแน่ใจด้วย ซึ่งอันหลังนี้ผมให้ไม่ได้

ก็อีกน่ะแหละ มันไม่ใช่เรื่องผิด มันแค่ไม่ใช่วิธีที่ผมทำงาน มันขัดกับหลักการของผมโดยสิ้นเชิง

หลักการของผมนั้นเรียบง่าย ผมจะไม่มีวันขายลูกค้าเก่ากิน

ขายลูกค้าเก่ากินคือ เอาผลงานที่ผมทำให้ลูกค้าเก่ามาแห่รอบเมืองเพื่อหากินต่อ พูดง่ายๆคือเคลมความสำเร็จนั่นแหละ แม้ว่าลูกค้าของผมหลายท่านจะยินดีมากๆ ก็ตาม

ให้ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้น สักปีที่แล้ว ผมได้รับ Inbox จากอดีตเพื่อนใหม่คนหนึ่ง (ปัจจุบัน Unfriend ไปละ) 

===

จดหมายอะไรราคาตั้งแพง ขอดูตัวอย่างผลลัพธ์ของสมาชิกหน่อยค่ะ ชื่อเพจ ชื่อธุรกิจ หรือ Ad ที่เขาเขียนก็ได้

=== 

คำตอบของผมน่ะหรอ… ผลลัพธ์ก็เท่าที่เห็นแหละครับ ถึงมีลึกกว่านั้นผมก็ไม่ให้ดู มันเสียมารยาท มันเหมือนถามเงินเดือนเจ้านายหรือเจ้าของบริษัทของคุณอะ ปกติคุณถามไหมเงินเดือนเจ้านายอะ? 

เขาอ้ำๆอึ้งๆไป แล้วตอบมาว่า… ที่อื่นยังมีให้ดูเลยว่า เคยสอนใคร สอนธุรกิจไหน ดูแบบนั้นแล้วตัดสินใจง่าย

ผมคิดในใจ กรูตัดสินใจแทนให้ละว่า ถึงอยากสมัคร กรูก็ไม่ให้สมัคร แต่ยั้งมือทัน ตอบไปแค่… ที่นี่ไม่มีอะครับ ไปที่อื่นเถอะ ผมว่าคุณน่าจะสบายใจกว่า

แล้วนางก็หายไป

สำหรับผม คนที่เอาข้อมูลลับของลูกค้าเก่ามาขาย เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่ หรือเพื่อให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือนี่ ผมว่าไม่น่ารักเลย

ผมเองกว่าจะเอาเคสผลลัพธ์แบบเซนเซอร์แล้วเซนเซอร์อีกมาโพสท์นี่ ต้องรออย่างน้อยเป็นเดือน ถึงบางเคสเป็นปี แถมต้องตัดชื่อออก ตัดชื่อธุรกิจออก ตั้งฉายาให้ (ข้าราชการจากชายแดนเอย เจ้าของกวดวิชาเล็กๆในหมู่บ้านเอย) และทำทุกวิถีทางไม่ให้คนตามสืบไปเจอได้ง่ายๆ

ก่อนจะโพสท์ผมก็จะทักไปขออนุญาตอีกครั้ง แล้วย้ำว่าผมจะตัดชื่อออก หรือถ้ามีชื่อก็ไม่มีนามสกุล ตัดประเภทธุรกิจออก บอกแค่กว้างๆพอ

เว้นแต่เคสที่ลูกค้าอิ่มผลลัพธ์จนจะอ้วกแล้ว และให้เครดิตผมเต็มๆเลยเนี่ย นานๆทีถึงจะเอาออกมาสู่สาธารณะสักคนนึง และต้องให้เขาเป็นคนพูดชื่อธุรกิจของตัวเองออกมาด้วย

มันไม่มีอะไรสำคัญเท่าความเชื่อใจที่ผมได้รับจากคนที่ยอมเสียเงินให้ผมแล้วทุกคน สิ่งนี้เท่านั้นที่เงินมากเท่าไหร่ก็ซื้อคืนมาไม่ได้

จริงอยู่ที่ใครๆก็ทำ เลยคิดว่าทำบ้างก็ได้ แต่แค่เพราะใครๆก็ทำ ไม่ได้แปลว่ามันเป็นเรื่องดีเสมอไป (ทิ้งขยะไม่ลงถัง ใครๆก็ทำ ก็เลยทำมั่ง เงี้ยหรอ? มักง่ายนะ สุดท้ายก็ชดใช้กรรมร่วมกันไปตอนน้ำท่วม)

ถ้าท่านต้องการจะขายสินค้าหรือบริการมากขึ้นด้วยการอ้างอิงลูกค้า วิธีที่ทรงพลังและได้ผลที่สุดคือ ให้ลูกค้าของท่านพูดแทนท่าน แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้นได้ต้องรักและเชื่อใจกันจริงๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ The Ohmpiang Letter Vol. 4 คือตัวอย่างที่ดีที่สุดแล้ว นี่คือสิ่งที่ท่านต้องทำหากต้องการเรียนรู้

1. เปิด Facebook
2. พิมพ์ #จดหมายจากมนุษย์ถ้ำ ในช่องค้นหา (ช่องที่มีแว่นขยาย)
3. ค่อยๆอ่าน ไม่ต้องรีบ

The Ohmpiang Letter Vol. 4 คือหนึ่งในฉบับไฮไลท์ที่สุดของซีรี่ย์จดหมายจากมนุษย์ถ้ำ วิธีที่ท่านสามารถถูกหวยทางการตลาดได้ โดยไม่ต้องรอลุ้นทุกวันที่ 1 กับ 16 แถมสร้างและเปลี่ยนกฎ กติกา มารยาท และสูตรโกงได้เองตลอดเวลา เวอร์ชั่นเวอร์ชั่นหนังสือเสียง ราคา 2,190 บาทจากปกติ 2,890 บาท วันนี้ถึง 31 พฤษภาคม 2565 เท่านั้น

ข่าวดีคือสั่งซื้อวันนี้ท่านจะได้ทั้งเวอร์ชั่นจดหมายส่งตรงถึงบ้าน และเวอร์ชั่นหนังสือเสียงฟังผ่านแอพ OHMPIANG

พิเศษ! สำหรับท่านที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของจดหมายจากมนุษย์ถ้ำเลยสักฉบับ สั่งซื้อ The Ohmpiang Letter Vol. 4 วันนี้รับฟรีหนังสือ The Ohmpiang Growth Factor มูลค่า 2,190 บาทส่งตรงถึงบ้านทันทีเช่นกัน

สั่งซื้อติดต่อทีมงานที่ไลน์ @ohmpiang (ใส่ @ ด้วย) บอกทีมงานว่า “The Letter Vol. 4”

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

ปล. The Ohmpiang Letter Vol.4 เวอร์ชั่นจดหมายส่งตรงถึงบ้านเหลืออีกไม่มากแล้ว ถ้าหมดแล้วคือหมดเลย และจะได้รับแค่เวอร์ชั่นหนังสือเสียงเท่านั้น

หมายเหตุ – The Ohmpiang Letter เป็นจดหมายลับรายเดือนจากมนุษย์ถ้ำส่งตรงถึงบ้านท่าน แต่ละฉบับหนาประมาณ 30 หน้าเท่านั้น

ในหนังเรื่อง Doctor Strange ภาคแรก ไคซีเลียสเป็นตัวร้ายที่คอยขับเคลื่อนเรื่องราวต่างๆก็จริง แต่บอสตัวสุดท้ายของเรื่องคือ ดอร์มามู ผู้มีงานอดิเรกกลืนกินจักรวาลและทำให้ทุกอย่างอยู่ในมิติแห่งความหายนะ

ดอร์มามูมีพลังเยอะมาก แค่เพ่งจิตนิดเดียว Doctor Strange ก็ระเบิดแล้ว เขาจึงตัดสินใจขังดอร์มามูไว้ในวังวนแห่งกาลเวลาไปตลอดกาล วังวนนี้จะวนลูปทุกครั้งที่ Doctor Strange ตาย

คำถามของผมคือ ท่านจะร่วมแบกรับชะตากรรมของดอร์มามู และให้พี่มาร์คเล่นบท Doctor Strange ไปถึงเมื่อไหร่?

เมื่อวานผมเห็นสายยิงแอดโอดครวญกันทั้งวัน (อีกแล้ว) ว่าแอดไม่วิ่ง แอดกินแต่เงินแต่ไม่วิ่ง บัญชีโดนปิด บัญชีที่เคยแก้แล้วก็โดนปิด

สำหรับคนที่พึ่งพาการยิงแอดอย่างเดียวสิ่งที่เกิดขึ้นคือความเสียหายอย่างหนัก แต่ประเด็นคือ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น นี่เป็นวังวนแห่งกาลเวลาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำอีก

เบิกตัวคำขอยกเลิกสมาชิก The Ohmpiang Letter เมื่อ 3 ปีที่แล้วจากเจ้าของธุรกิจออนไลน์คนหนึ่งที่โพสท์ว่าแพคของไม่ทันทุกวัน และมีงานอดิเรกเปิดคอร์สสอนยิง Ad Facebook กับสอนใช้พลังจิตใต้สำนึก

=====

ก่อนอื่นเลยผมชอบจดหมายของอาจารย์มากๆครับมากจนผมใช้เวลาหลายวันเพื่อเขียนอีเมล์ฉบับนี้แต่อย่างที่อาจารย์ทราบดีค่า Ad บน Facebook แพงมากๆไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ถูกกว่านี้เยอะกำไรของผมหายไปจากปกติเกิน 70% แล้ว ผมขออนุญาตยกเลิกสมาชิก THE OHMPIANG LETTER ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปรบกวนอาจารย์บอกทีมงานให้รีบยกเลิกก่อนวันที่จะตัดเงินผมด้วยนะครับผมต้องประหยัดทุกบาททุกสตางค์จนกว่าจะหาวิธีที่จะทำให้ค่า Ad ถูกลงมากกว่านี้ ผมรู้ตัวว่าจะโดน Blacklist ไม่ให้สมัครใหม่อีกครั้งแต่หวังว่าจะได้โอกาสอีกครั้งนะครับเพราะผมเพิ่งติดต่อซื้อหนังสือทุกเล่มที่อาจารย์มีไปกับทีมงาน=====

มันมี Keyword ที่ดีมากๆในคำขอยกเลิกสมาชิกนี้

1. ค่า Ad บน Facebook แพงมากๆ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ถูกกว่านี้เยอะ
2. กำไรของผมหายไปจากปกติเกิน 70%
3. ต้องประหยัดจนกว่าจะหาวิธีที่จะทำให้ค่า Ad ถูกลงมากกว่านี้

ทั้งหมดนี้คือปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และเชื่อไหมว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้วผมก็เคยได้ยินคนบ่นทำนองนี้…

ตัดภาพมาปี 2022 ค่า Ad แพงกว่าเมื่อ 2019 หลายเท่าตัว ถ้าเขายังคงใช้วิธีเดิมอยู่เขาจะขาดทุนไม่ใช่กำไร และเชื่อเถอะว่าเขาหาวิธีทำให้ค่า Ad ถูกลงมากกว่านี้ไม่เจอ เพราะมันไม่มีอยู่จริง

ที่มันน่าตลกคือ ทุกครั้งที่เกิดหายนะทางการยิงแอดขึ้น เหล่ากรูร้วและทวยเทพจะออกมาโพสท์ให้หาช่องทางอื่นเพราะ Facebook มันไม่โอเคแล้ว

5 ปีผ่านไปกรูรู้วเหล่านั้นก็ยังโพสท์เรื่องเดิมๆ เพราะไม่ได้ย้ายไปไหน ยังคงดิ้นรนหาทางทำให้ค่า Ad ถูกอยู่ดี… (จะมีปีนี้ที่เปลี่ยนอาชีพกันเยอะ เหลือแต่ตัวจริงที่เข้าใจเกมจริงๆ)

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมองว่า Facebook คือทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ช่องทางหนึ่งที่สร้างรายได้และกำไร ถ้าวันหนึ่ง Facebook ไม่อยู่แล้วจริงๆ วังวนนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้งและเกิดขึ้นไปเรื่อยๆไม่มีวันจบสิ้น

สำหรับผมแล้วนั่นไม่ใช่วิถีการทำธุรกิจที่ผมอยากได้แม้แต่น้อย และอย่าเข้าใจผิดคิดว่าผมมายัดเยียดอะไรให้ท่าน ผมแค่มาบอกทางเลือกว่ามันมีวิธีอีกมากมายที่จะเพิ่มยอดขายได้เหมือนถูกหวยจากแอดที่ท่านกำลังยิงอยู่

The Ohmpiang Letter Vol. 4 บอกวิธีที่ท่านสามารถสร้าง Jackpot ทางการตลาดขึ้นมาด้วยตัวเองถึง 17 วิธีจาก Content และ Ad ที่ท่านกำลังเสียเงินอยู่ แต่ละวิธีมีโอกาสที่จะถูกรางวัลใหญ่ได้หมด รวมไปถึงเชิญชวนให้ท่านมารับบทนกแก้วโจรสลัดคอยเกาะไหล่ดูวิธีคิดของผมตอนเขียนหรือปรับ Copy

The Ohmpiang Letter Vol.4 – วิธีที่ท่านสามารถถูกหวยทางการตลาดได้ โดยไม่ต้องรอลุ้นทุกวันที่ 1 กับ 16 แถมสร้างและเปลี่ยนกฎ กติกา มารยาท และสูตรโกงได้เองตลอดเวลา เวอร์ชั่นเวอร์ชั่นหนังสือเสียง ราคา 2,190 บาทจากปกติ 2,890 บาท วันนี้ถึง 31 พฤษภาคม 2565 เท่านั้น

ข่าวดีคือสั่งซื้อวันนี้ท่านจะได้ทั้งเวอร์ชั่นจดหมายส่งตรงถึงบ้าน และเวอร์ชั่นหนังสือเสียงฟังผ่านแอพ OHMPIANG

พิเศษ! สำหรับท่านที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของจดหมายจากมนุษย์ถ้ำเลยสักฉบับ สั่งซื้อ The Ohmpiang Letter Vol. 4 วันนี้รับฟรีหนังสือ The Ohmpiang Growth Factor มูลค่า 2,190 บาทส่งตรงถึงบ้านทันทีเช่นกัน

สั่งซื้อติดต่อทีมงานที่ไลน์ @ohmpiang (ใส่ @ ด้วย) บอกทีมงานว่า “The Letter Vol. 4”

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

ปล. The Ohmpiang Letter Vol.4 เวอร์ชั่นจดหมายส่งตรงถึงบ้านเหลืออีกไม่มากแล้ว ถ้าหมดแล้วคือหมดเลย และจะได้รับแค่เวอร์ชั่นหนังสือเสียงเท่านั้น

หมายเหตุ – The Ohmpiang Letter เป็นจดหมายลับรายเดือนจากมนุษย์ถ้ำส่งตรงถึงบ้านท่าน แต่ละฉบับหนาประมาณ 30 หน้าเท่านั้น

ยุคที่ผมทำ The Ohmpiang Letter มีความสับสนเกิดขึ้นเล็กน้อยว่า อีเมลที่ผมส่งทุกวันคือ The Ohmpiang Letter หรือเปล่า?

คำตอบคือ ไม่ใช่นะครับ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าอีเมลที่ส่งในแต่ละวันจะไม่มีประโยชน์นะ

ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนมากๆคือ สมาชิก THE OHMPIANG LETTER คุณธมล เคยส่งนกพิราบมาบอกผมว่า

===

อานิสงส์จากการอ่านอีเมลมนุษย์ถ้ำทุกวัน คือ ช่วยให้เขียนโพสท์ได้ดีขึ้น และง่ายขึ้น ตอนแรกนึกว่าอีเมล์พวกเนี้ยคือ THE OHMPIANG LETTER

=== 

อีเมลที่ผมส่งให้ท่านทุกวัน มันไม่ใช่ The Ohmpiang Letter เน้อ… ไม่ได้ใกล้เคียงเลย

The Ohmpiang Letter มีทั้งหมด 18 ฉบับ (Vol.0 – Vol. 17) ตอนนั้นสมาชิกจะได้รับเดือนละ 1 ฉบับทาง Kerry ไม่ก็ไปรษณีย์ แล้วแต่คุณภาพการบริการในแต่ละเดือน

ส่วนอีเมลที่ท่านได้รับทุกวัน รวมถึงอีเมล์นี้ ผมทำด้วยความสนุกล้วนๆ มันเป็นที่ๆผมเอาไว้พล่าม บ่น แซว แซะ สะกิด ประจาน ด่าพวกขี้ก๊อป และเขียนอะไรก็ได้ที่ผมอยากจะเขียน เล่าอะไรก็ได้ที่ผมอยากจะเล่า

มันก็ไม่แปลกหรอกที่หลายท่านมากๆ (รวมถึงคุณธมลในตอนแรก) จะเข้าใจผิด เพราะถึงผมจะเน้นพล่ามอะไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าตั้งใจแคะ ไม่มองผ่านๆ มันก็มีส่วนแซ่บซ่อนไว้เยอะอยู่ เหมือนเนื้อติดกระดูกสูตรเด็ดป้าแช่มที่กินได้ไม่เบื่อ แถมอิ่มท้อง

ถ้าเทียบกันระหว่างอีเมลที่ท่านได้รับทุกวันกับ The Ohmpiang Letter ที่ผมเคยส่งให้สมาชิกเดือนละครั้ง

The Ohmpiang Letter คือโทมาฮอว์คปิดทองฉ่ำๆแถมด้วยท่าโรยเกลือพันล้าน

ผมไม่ได้บอกให้เลือกอย่างใดอย่างนึง เพราะมันคนละวัตถุประสงค์กัน

เนื้อติดกระดูกสูตรเด็ดป้าแช่ม มีไว้เติมพลังเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน

ส่วนโทมาฮอว์คปิดทองแถมด้วยท่าโรยเกลือพันล้านคือ ประสบการณ์อันเข้มข้นของเชฟที่ส่งตรงถึงคนกินผ่านเนื้อชิ้นโต

จริงอยู่ที่ผมหยุดเสิร์ฟโทมาฮอว์คมาสักพักแล้ว แต่ก่อนที่ผมจะหยุดผมสัญญากับสมาชิกเอาไว้ว่าจะทำเป็นหนังสือเสียงทุก Volume เพื่อเป็นของขวัญให้สมาชิก

อานิสงส์ตอนนี้เลยตกอยู่กับเพื่อนใหม่หรือท่านที่เพิ่งรู้จักกันที่จะได้รู้จักและตามเก็บ The Ohmpiang Letter ในตำนาน

บางฉบับท่านอาจจะโชคดีได้ทั้งจดหมายฉบับจริงส่งตรงถึงบ้าน แต่บางฉบับท่านอาจจะได้แค่หนังสือเสียงเพราะจดหมายฉบับจริงหมด

แต่ทั้งหมดทั้งสิ้น The Ohmpiang Letter มีทั้งสิ้น 18 ฉบับ (Vol.0 – 17) และจะมีเวอร์ชั่นหนังสือเสียงออกมาตั้งแต่ Vol. 1 – 17 (Vol. 0 ไม่มี)

เมื่อผมทำเวอร์ชั่นหนังสือเสียงครบ เราค่อยมาว่ากันว่าเราจะต่อ Vol. 18 หรือจะไปสนุกกับเสียงย่างเนื้อ Sale Academy กันต่อ

สำหรับตอนนี้เราเดินทางมาถึง Vol. 4 แล้ว

The Ohmpiang Letter Vol.4 – วิธีที่ท่านสามารถถูกหวยทางการตลาดได้ โดยไม่ต้องรอลุ้นทุกวันที่ 1 กับ 16 แถมสร้างและเปลี่ยนกฎ กติกา มารยาท และสูตรโกงได้เองตลอดเวลา เวอร์ชั่นเวอร์ชั่นหนังสือเสียง ราคา 2,190 บาทจากปกติ 2,890 บาท วันนี้ถึง 31 พฤษภาคม 2565 เท่านั้น

ข่าวดีคือสั่งซื้อวันนี้ท่านจะได้ทั้งเวอร์ชั่นจดหมายส่งตรงถึงบ้าน และเวอร์ชั่นหนังสือเสียงฟังผ่านแอพ OHMPIANG

พิเศษ! สำหรับท่านที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของจดหมายจากมนุษย์ถ้ำเลยสักฉบับ สั่งซื้อ The Ohmpiang Letter Vol. 4 วันนี้รับฟรีหนังสือ The Ohmpiang Growth Factor มูลค่า 2,190 บาทส่งตรงถึงบ้านทันทีเช่นกัน

สั่งซื้อติดต่อทีมงานที่ไลน์ @ohmpiang (ใส่ @ ด้วย) บอกทีมงานว่า “The Letter Vol. 4”

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

ปล. The Ohmpiang Letter Vol.4 เวอร์ชั่นจดหมายส่งตรงถึงบ้านเหลืออีกไม่มากแล้ว ถ้าหมดแล้วคือหมดเลย และจะได้รับแค่เวอร์ชั่นหนังสือเสียงเท่านั้น

หมายเหตุ – The Ohmpiang Letter เป็นจดหมายลับรายเดือนจากมนุษย์ถ้ำส่งตรงถึงบ้านท่าน แต่ละฉบับหนาประมาณ 30 หน้าเท่านั้น

เมื่อประมาณ​เกือบ 20 ปีที่แล้ว มีซีรี่ย์เรื่องนึงที่ผมดูชื่อ Smallville เป็นเรื่องราวของ Clark Kent ตอนวัยรุ่นก่อนจะเป็น Superman 

ในซีรี่ย์จะพูดถึงจุดอ่อนของ Superman อยู่เรื่อยๆ นั่นคือ ผลึกคริปโตไนต์ และที่ซีรี่ย์นี้พิเศษก็เพราะคริปโตไนต์เป็นสีแดง

ปกติเมื่อ Superman อยู่ใกล้คริปโตไนต์จะอ่อนแอ หมดแรง และพร้อมจะแพ้ทุกสิ่งอย่างในจักรวาล แต่สำหรับคริปโตไนต์สีแดงนี้ มันไม่ใช่

เมื่ออยู่ใกล้ๆ Superman จะมีอาการเหมือนคนติดยา ปากสั่น ตัวสั่น สูญเสียการควบคุมตัวเอง คาดเดาพฤติกรรมไม่ได้ และเกรี้ยวกราดแบบไร้เหตุผล

เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสเห็นฤทธิ์ของคริปโตไนต์สีแดงนอกจอทีวีในห้องประชุมแห่งหนึ่ง

มันเป็นการประชุม Update งานระหว่างเพื่อนสนิทของผมกับ Branding กรูรู้วที่เคยโด่งดังจากการจัดสัมมนาสร้างแบรนด์เมื่อหลายปีก่อน เรียกว่าวางตัวเองในระดับอภิมหากุนซือสายนี้

ทุกอย่างทำออกมาดูดีมากๆ พรีเซนต์เลิศเลอ ทีมงานมืออาชีพ แผนงานอลังการ

แต่พอผ่านไปครึ่งชั่วโมง สิ่งที่ผมได้ยินเกือบทุกๆ 3 นาทีคือ อันนี้จ่ายเพิ่ม อันนั้นเพิ่มเงิน อันนี้ราคาเท่านี้ อันนี้แพคเกจเหมาแบบนี้ โพสท์อันนี้เสร็จแล้วต้องไปติดต่อ Influencer นะ แบ่งเป็น 3 เกรด ราคาต่ำสุดคือเท่านี้ ราคาสูงสุดคือเท่านี้ กลางๆเท่านี้

มันมีแต่คำว่า จ่าย จ่าย จ่าย จ่าย จนผมต้องขัดจังหวะ (สร้างศัตรูตล๊อด) แล้วหันไปถามเพื่อนแบบขำๆ (แต่ในใจไม่ขำ) ว่า มีอะไรที่มันไม่ต้องจ่ายเพิ่มบ้างไหมวะเนี่ย? 

ทุกคนในห้องหัวเราะ แต่ก็ไม่มีใครตอบอะไร ตัวคนพรีเซนต์ก็รีบกลับเข้าเรื่องที่กำลังพูดค้างไว้ต่อ เหมือนหนังม้วนเดิม จ่าย จ่าย และจ่าย

จนในที่สุด ความอดทนของมนุษย์ถ้ำก็ถึงจุดเปิดศึก

ผมถามว่า แล้วเมื่อไหร่เราจะพูดถึงยอดขายกันเอ่ย ผมฟังมาเกือบชั่วโมงแล้ว มีแต่บอกว่าเพื่อนผมต้องเสียเงินเพิ่ม ผมยังไม่ได้ยินสักคำว่าเพื่อนผมจะได้เงินเมื่อไหร่…

เท่านั้นแหละค่า คุณขาาาา ปากสั่น หน้าสั่น เสียงสั่น บรรยากาศรอบตัวบิดเบี้ยว ความเกรี้ยวกราดเริ่มมาเยือน ทำตัวขึงขังสุดฤทธิ์ไม่น่ารักเหมือนตอนเกาะขาโต๊ะของานทำ

เริ่มจากการแนะนำตัวอีกรอบ ว่ายิ่งใหญ่มาจากไหน เคยทำแบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับไหนมา โปรไฟล์สุดไฮโซอลังการ ร่วมงานกับคนดังคนนู้น คนนี้ คนนั้น 

ความเกรี้ยวกราดนี้ดำเนินไปอีกเกือบ 15 นาที

เกรี้ยวกราดจนมนุษย์ถ้ำต้องแก้เขินว่า ผมแค่ว่าเองว่าเมื่อไหร่มันจะได้ผลลัพธ์ที่เรียกว่ายอดขายเป็นชิ้นเป็นอัน?

ผมไม่รู้ว่ามันเป็นการผิดมารยาทหรือเปล่านะที่ถาม Branding Agency ถึงเรื่องยอดขายเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอ

แต่ที่แน่ๆคือ วันนั้นผมค้นพบผลึกคริปโตไนต์สีแดงของบรรดาสายสร้างภาพที่แท้ทรู พวกที่เน้นแต่ภาพลักษณ์ โหนแต่คนมีภาพลักษณ์ แต่ข้างในนิ๊งหน่อง 

พวกนี้จะหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับยอดขายและผลลัพธ์ที่จับต้องได้ราวกับว่ามันเป็นโรคระบาด

เช่นเดียวกับที่ Superman เป็น เมื่อใดก็ตามที่อยู่ใกล้คริปโตไนต์สีแดง ความเสียหายจะตามมา ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคืออย่าเสี่ยงให้ทั้ง Superman และกุนซือสายภาพลักษณ์ที่กลัวยอดขายเข้าใกล้ธุรกิจของท่าน

The Ohmpiang Letter Vol.4 ผมเตรียมผลึกคริปโตไนต์สีดำที่มีพุทธคุณป้องกันคนเหล่านี้ได้อย่างชะงัด เพราะทุกอย่างที่อยู่ในฉบับนี้จะโฟกัสแต่เรื่องของผลลัพธ์และยอดขาย จนอาจจะลบความเชื่อที่ว่าภาพลักษณ์นั้นสำคัญและจำเป็นต่อธุรกิจของท่านมากชนิดขาดไม่ได้ออกไปจนหมดสิ้น

The Ohmpiang Letter Vol.4 – วิธีที่ท่านสามารถถูกหวยทางการตลาดได้ โดยไม่ต้องรอลุ้นทุกวันที่ 1 กับ 16 แถมสร้างและเปลี่ยนกฎ กติกา มารยาท และสูตรโกงได้เองตลอดเวลา เวอร์ชั่นเวอร์ชั่นหนังสือเสียง ราคา 2,190 บาทจากปกติ 2,890 บาท วันนี้ถึง 31 พฤษภาคม 2565 เท่านั้น

ข่าวดีคือสั่งซื้อวันนี้ท่านจะได้ทั้งเวอร์ชั่นจดหมายส่งตรงถึงบ้าน และเวอร์ชั่นหนังสือเสียงฟังผ่านแอพ OHMPIANG

พิเศษ! สำหรับท่านที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของจดหมายจากมนุษย์ถ้ำเลยสักฉบับ สั่งซื้อ The Ohmpiang Letter Vol. 4 วันนี้รับฟรีหนังสือ The Ohmpiang Growth Factor มูลค่า 2,190 บาทส่งตรงถึงบ้านทันทีเช่นกัน

สั่งซื้อติดต่อทีมงานที่ไลน์ @ohmpiang (ใส่ @ ด้วย) บอกทีมงานว่า “The Letter Vol. 4”

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

ปล. The Ohmpiang Letter Vol.4 เวอร์ชั่นจดหมายส่งตรงถึงบ้านเหลืออีกไม่มากแล้ว ถ้าหมดแล้วคือหมดเลย และจะได้รับแค่เวอร์ชั่นหนังสือเสียงเท่านั้น

หมายเหตุ – The Ohmpiang Letter เป็นจดหมายลับรายเดือนจากมนุษย์ถ้ำส่งตรงถึงบ้านท่าน แต่ละฉบับหนาประมาณ 30 หน้าเท่านั้น