fbpx

Copywriter พ่อลูกอ่อนกำลังก่อกองไฟย่างเนื้อ รอเพิ่มผลลัพธ์ให้กับธุรกิจและการใช้ชีวิตของท่านด้วยเทคนิคการตลาดโบราณ หลักการขายนอกคอก ประสบการณ์ชีวิตแซ่บๆ และวิชา Copywriting ที่ไม่เป็นสองรองใคร

50 สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการเป็นพ่อคน

เขียนโดย Jesse Theerathorn  |  Mindset, Success, ความสุข  |  0 Comments

ลูกชายคนแรกของผมเพิ่งอายุครบ 3 ขวบเต็มๆไปเมื่อเดือนก่อน ใจอยากจะเขียนบทความนี้ตั้งแต่ตอนที่เขาอายุครบ 1 ขวบเพื่อเตือนตัวเองหลายๆอย่างเพราะได้เรียนรู้อะไรมากจริงๆ แต่สุดท้ายก็ได้เขียนตอนเขาอายุ 3 ปีกับอีก 1 เดือน

3 ปีที่ได้เป็นคุณพ่อเต็มเวลาสมใจ มีครบทุกรสชาติ มีสุข มีทุกข์ มีหงุดหงิด มีแอบน้อยใจ แต่สุดท้ายเมื่อเอาทุกอย่างบวกลบคูณหารกัน คำตอบที่ได้คือ ชีวิตที่ได้รับการเติมเต็ม

ผมกับภรรยาคุยกันบ่อยๆว่า ตั้งแต่มีลูกเรานึกย้อนกลับไปตอนก่อนที่จะมีลูกไม่ออกแล้ว แปลกมาก ราวกับว่าพอมีลูกปุ๊บทุกอย่างถูก Reset และมีภาพของลูกอยู่ด้วยตลอด (ฟังดูเว่อร์แต่ผมรู้สึกกันแบบนั้น) แต่เหนือสิ่งอื่นใดตั้งแต่มีลูกผมได้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตมากขึ้นอีกเยอะ

และต่อไปนี้คือ 50 สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการเป็นพ่อคน ครับ

(หมายเหตุ – ไม่ได้เรียงลำดับความสำคัญของบทเรียนที่ได้รับ)

1. การมีลูกช่วยให้ผมเข้าใจพ่อแม่ของผมมากขึ้น ลูกช่วยให้ผมเริ่มจะเข้าใจหัวอกและการกระทำแปลกๆบางอย่างของพ่อแม่ผม เพราะผมเองก็เริ่มจะทำแบบนั้น

2. การพูดคำว่า “รักลูก” ที่ทรงพลังและสัมฤทธิ์ผลที่สุดคือ การใช้เวลากับเขา

3. ลูกเห็นและได้ยินทุกอย่าง แม้ตอนที่เราคิดว่าเขาหลับไปแล้ว ระวังคำพูดและการกระทำให้ดี

4. ลูกเรียนรู้จากการกระทำของเรา ถ้าอยากสอนอะไรลูกให้ได้ผล ทำให้ดูเป็นแบบอย่างและทำให้สม่ำเสมอ

5. ลูกไม่จำสิ่งที่เราพูด แต่จะจำวิธีที่เราพูด ซึ่งรวมไปถึงน้ำเสียง ท่าทาง และความรู้สึกตอนที่เราพูด

6. เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ข้อมูลต่างๆตามเพจเลี้ยงลูกหรือเวบไซต์คือแหล่งอ้างอิงชั้นดี แต่คู่มือการเลี้ยงลูกที่ดีที่สุดในโลกอยู่บนใบหน้า น้ำเสียง และท่าทางของลูก

7. มื้ออาหารที่ดีที่สุดคือมื้อที่มีคนอยู่พร้อมหน้าแม้อาหารไม่เต็มโต๊ะ ไม่ใช่อาหารเต็มโต๊ะแต่ไม่มีคนกินด้วย

8. ผมรู้สึกว่าชีวิตหลังมีลูกเรียบง่ายขึ้น แต่ไม่ได้ง่ายขึ้น

9. ประสบการณ์ที่ใกล้เคียงการขึ้นสวรรค์ที่สุดคือ ตอนที่ลูกยอมหลับอยู่บนไหล่หรือในอ้อมแขน สำหรับผมมันคือความสุข ความภูมิใจ และชัยชนะ ฮ่าๆ

10. เวลาที่เหนื่อย ท้อ หรือเจอปัญหา การได้เห็นหน้าลูกไม่ว่าจะเป็นตอนหลับหรือตอนตื่น ในรูปถ่ายหรือตัวจริง ความเหนื่อย ความเหี่ยว ความท้อมันหายไปจริงๆ

11. ลูกรู้ความรู้สึกนึกคิดของเรา พลังงานของเราส่งผลต่อลูก เราเหี่ยวลูกก็เหี่ยว เราสุขลูกก็สุข ดังนั้นควบคุมพลังงานของตัวเองให้ดี

12. การเลี้ยงลูกควรอยู่บนทางสายกลาง กฎมีได้ ระเบียบมีได้ แต่อย่าให้มันมากกว่าความรัก ความใส่ใจ และความเมตตา

13. วันที่ลูกเริ่มดื้อเริ่มก้าวร้าว หายใจลึกๆ อย่าเพิ่งดุ ด่า หรือลงโทษทันที หันมาดูตัวเองก่อน ลูกคือกระจกส่องพฤติกรรมที่ผ่านมาของเรา ถามตัวเองว่าที่ผ่านมาเราใส่ใจลูกไหม? เราใช้เวลากับเขาจริงๆไหม? เราอยู่กับเขาแค่ตัวแต่ใจอยู่ที่อื่นและมือกดมือถือตลอดไหม? ถ้าคำตอบคือ ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้ใช้เวลา ไม่ได้อยู่กับเขาจริงๆ ลองปรับดูก่อน มันใช้เวลาไม่นานหรอก เชื่อผม

14. ถ้าข้อบนไม่ได้ผล งดทีวี งดขนม สร้างวินัย จัดตารางเวลาให้ลูก แล้วใช้เวลากับเขาให้มากขึ้น ถ้า 2 เดือนไม่หาย หาผู้เชี่ยวชาญดีกว่า

15. จริงอยู่ที่ Ipad มือถือ และ TV ช่วยให้ลูกไม่กวน เปิดช่องให้พ่อแม่ได้หายใจ แถมเขาได้เรียนรู้เพลงและอะไรอีกมากมาย แต่ข่าวร้ายคือ Ipad มือถือ และ TV ส่งผลต่อพัฒนาการทุกด้านของลูก ข่าวดีคือ มันแก้ไขได้ไม่ยาก แค่หักดิบ ระวังลูกจะรู้ทุกอย่าง แต่เหมือนไม่รู้อะไรเลย

16. ลูกจะให้อภัยเราเสมอ จนกว่าที่เขาจะไม่ให้อภัย อย่าไปให้ถึงตรงนั้น

17. ของเล่นที่ลูกชอบที่สุดมักไม่ใช่ชิ้นที่แพงที่สุด และมักไม่ใช่ชิ้นที่เราคาดคิด บางทีซื้อของตั้งเยอะลูกเล่นกระดาษห่อ หนังสติ๊ก และอะไรที่มันมากับของเล่นที่ไม่ใช่ของเล่นแทน

18. ลูกไม่ใช่ที่ฝากความหวัง ถ้าตัวเองทำไม่ได้อย่าไปคาดหวังกับลูก ให้เขาไปมีความหวังความฝันของตัวเอง

19. ลูกไม่ใช่ของเรา เขามีชีวิต จิตใจ จิตวิญญาณของตัวเอง ชาติที่แล้วเขาอาจเป็นพ่อเป็นแม่เราก็ได้ อย่ายึดให้มันมาก ประสาทจะเสียเปล่าๆ

20. เราไม่ได้เลือกลูก ลูกเลือกเรา ไม่ว่าจะด้วยกรรม เวร หรือความไว้ใจ เขาเลือกเรา อย่าเข้าใจผิด ลองดูสิบางคู่พยายามตั้งนานไม่มา บางคู่ไม่พยายามก็มา

21. หน้าที่ของพ่อแม่คือ สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดเท่าที่กำลังจะไหว จากนั้นให้เขาเลือกทางของเขาเอง

22. พ่อแม่ไม่ต้องพยายามทำตัวเป็นฮีโร่ เพราะทุกย่างก้าวและการกระทำของพ่อแม่คือฮีโร่ของลูกอยู่แล้ว

23. ถ้าไปเจอใครที่บอกว่าหลังลูกอายุ 3 เดือนจะเบาขึ้น Unfriend / Unfollow มันไป มันไม่เบาขึ้นหรอก แต่มันคุ้มค่าทุกวินาที

24. สักวันลูกจะต้องโต และไม่ยอมให้เรากอด หอม แกล้งแบบนี้ เราทำได้แค่ตักตวงช่วงเวลานี้ให้มากที่สุด

25. ช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดคือ ช่วงเวลาที่เราพลาดไป

26. เราปกป้องลูกตลอดไปไม่ได้ เราทำได้แค่รัก สอน เฝ้ามอง และปล่อยให้เขาเติบโต เพราะวันหนึ่งเขาต้องออกไปเผชิญโลกที่อาจไม่เป็นมิตรกับเขา

27. ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ใช้เฉพาะกับพ่อแม่รักลูกเท่านั้น ลูกเองก็รักเราแบบไม่มีเงื่อนไขเช่นกัน

28. ลูกโตเร็วเกินไป (จริงๆนะ เฮ่อ)

29. อย่าโทษตัวเองถ้าวันนี้ยังรู้สึกว่าให้ในสิ่งที่ดีที่สุดไม่ได้ ไม่มีใคร Perfect คุณทำดีที่สุดแล้ว ข้อพิสูจน์คือรอยยิ้มของลูกที่มอบให้คุณ ดื่มด่ำกับมันแล้วไปต่อครับ

30. การมีลูกช่วยให้ผมเข้าใจหัวอกพ่อแม่ที่ลูกแหกปากดีดดิ้นในร้านอาหารและที่สาธารณะมากขึ้นนิดนึง (นิดนึงเท่านั้น เพราะตาชั่งข้อ 4 และ 13 มันมีน้ำหนักมากกว่า)

31. เช็ดตูดลูกมีความสุขมากกว่าที่คิด

32. ป้อนข้าวแล้วลูกยอมกินก็ด้วย

33. แต่ทำอาหารแล้วลูกยอมกิน อันนี้ถึงจะดีใจมากแต่ความกังวลเรื่องสุขภาพของลูกมีมากกว่า (กลัวลูกท้องเสีย)

34. ของขวัญที่ดีที่สุดที่ให้ลูกได้คือ ให้เขามีความคิด มีชีวิต และมีอารมณ์ความรู้สึกเป็นของตัวเอง

35. ยิ่งมีลูกมาก ยิ่งรวย อย่าคิดว่าลูกเป็นภาระ จะคิดลบไปทำไม คิดบวก คิดว่าลูกคือแรงผลักดันให้เรายิ่งสำเร็จ (อันนี้ดร.แสงสุข เจ้าของ Smooth E ผู้เขียนหนังสือ Mindful Entrepreneur บอกผมตอนกินข้าวด้วยกัน)

36. ลูกสอนให้เราสร้างสรรค์ สอนให้เราดึงจินตนาการแฝงที่ซ่อนเร้นอยู่ออกมาใช้อย่างไร้ขีดจำกัด

37. ใครที่บอกว่าเลี้ยงลูกแล้วไม่เจอปัญหา ลูกไม่ดื้อ อย่าไปเปรียบเทียบเด็ดขาด ไม่มีใครรู้ว่ามันมีความจริงซ่อนอยู่ในประโยคเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหน

38. การเปรียบเทียบคือการขโมยความสุขของตัวเอง และมันจะขโมยความสุขของลูกด้วย อย่าหาทำ

39. พึงระลึกไว้เสมอว่า เวลาที่อุ้มลูก ครั้งนั้นอาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ อยู่ดีๆลูกอาจจะโตเกินไป ไม่อยากให้อุ้มอีกแล้ว หรือคุณเองอาจจะไม่แข็งแรงพอ ดังนั้นเก็บความทรงจำนี้ไว้ให้ดีๆ

40. การอุ้มลูกแต่ละครั้งมันมีค่าสำหรับทั้งลูกและพ่อแม่

41. ทุกเรื่องไม่ดีที่ลูกทำคือโอกาสให้เขาเติบโต โอกาสที่ทั้งลูกและพ่อแม่จะได้เติบโต ลูกจะได้เรียนรู้ว่าอะไรถูกหรือผิด ทำอะไรแล้วปลอดภัย ทำอะไรแล้วเจ็บตัว พ่อแม่จะได้เรียนรู้เรื่องการปล่อยวาง ทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ที่มุมมองและการตอบสนอง

42. ถ้าคุณลงโทษ ดุด่า ว่ากล่าว หรือปกป้องลูกทุกครั้งที่เขาทำผิดพลาด เขาจะกลัวที่จะล้มเหลว กลัวที่จะเริ่มต้น กลัวที่จะลองอะไรใหม่ๆ ถ้าคุณอยากให้ลูกประสบความสำเร็จและมีความสุข อย่าให้ลูกรู้สึกว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องไม่ดี

43. เวลาส่วนตัวของคุณสำคัญมาก เวลาที่จะได้อยู่นิ่งๆ ใช้เวลากับตัวเอง ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ผมบอกเลยว่าพ่อแม่ทุกคนจำเป็นต้องมี ห้ามรู้สึกผิดเด็ดขาดที่จะใช้เวลานี้ การเลี้ยงลูกคือการบริหารพลังงาน ถ้าอยากเลี้ยงลูกให้ดีอย่าปล่อยให้ตัวเองป่วยหรือหมดแรง ดูข้อ 11 อีกครั้ง

44. เหรียญมีสองด้าน คนที่เลี้ยงลูกคนเดียวหรือเลี้ยงกันเองไม่มีคนช่วยอาจอิจฉาหลายๆคนที่มีญาติผู้ใหญ่มาช่วย ในทำนองเดียวกันคนที่มีญาติผู้ใหญ่มาช่วยก็อิจฉาคนที่เลี้ยงลูกคนเดียวที่มีอิสระในการสอนลูกโดยไม่ต้องเกรงใจใคร ทั้งนี้ทั้งนั้นจงพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี และอย่าได้ลังเลที่จะเลือกทางที่ดีที่สุดให้ลูก

45. อย่าคิดว่าคนอื่นจะรู้จักลูกของเราดีเท่าเรา อย่าเกรงใจที่จะต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก ไม่ว่าคู่ต่อสู้ของเราจะดูน่ากลัวแค่ไหนก็ตาม เช่นพ่อแม่ พ่อตาแม่ยาย เพื่อนสนิท หรือญาติผู้ใหญ่ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็ตาม

46. การเลี้ยงลูก ไม่ว่าจะเป็นอุ้มลูก อาบน้ำ ป้อนข้าว เปลี่ยนแพมเพิส เช็ดก้น เช็ดอ้วก อุ้มกล่อม รับมือตอนร้องไห้งอแง ดูแลตอนไม่สบาย ทำแผล และสารพัดที่เคยกลัว มันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ลูกจะเป็นคนบอกเองถ้าเราทำอะไรไม่ถูก ดังนั้นเลี้ยงลูกไม่เป็นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ช่วยเลี้ยงลูก

47. มันไม่แปลกเลยแม้แต่นิดเดียวถ้าลูกจะติดและรักแม่มากกว่าพ่อ เขาอยู่ด้วยกันมาตั้ง 9 เดือน เขาสร้างความรัก ความผูกพัน ความสัมพันธ์กันมา 9 เดือน ถ้าอยากให้ลูกรัก อยากให้ลูกสนใจ รักแม่ของลูกให้เยอะๆ มันเป็นวิธีเดียว

48. ลูกโตมากกว่าที่เราคิด อย่าคิดว่าคุยกับเด็ก คิดซะว่าคุยกับผู้ใหญ่ตัวเล็ก เขารู้เรื่องระดับนั้นแหละ

49. อย่ารู้สึกแย่ถ้ารู้สึกว่าลูก “พัฒนาการช้า” หรือ “โตช้า” แล้วไงล่ะถ้าลูกยังไม่พูดในขณะที่เพื่อนพูดได้ แล้วไงล่ะถ้าลูกยังกินนมแม่อยู่ ในขณะที่เพื่อนดูดนมจากกล่องได้ แล้วไงล่ะถ้าลูกยังปีนป่ายไม่คล่องหรือเดินไม่ค่อยจะตรง เขาไม่ได้พัฒนาการช้า เขาแค่พัฒนาการไม่ตรงตามความคาดหวังของเรา ไม่มีเด็กคนไหนเก่งทุกเรื่อง และไม่มีเด็กคนไหนไม่เก่งเลยสักเรื่อง สังเกตดูดีๆลูกของคุณมีจุดเด่นของเขา

50. ลูกชอบและต้องการ “ตารางเวลา” ของตัวเอง ข้อสุดท้ายนี้สร้าง Impact มากที่สุดให้ครอบครัวของผม การมีตารางเวลาที่ชัดเจนและวินัยในการรักษาเวลาช่วยให้ลูกและพ่อแม่เติบโตไปพร้อมกัน การที่ผมและภรรยาเริ่มให้ลูกมีตารางเวลาของตัวเองตั้งแต่อายุ 6 เดือนช่วยให้ลูกมีระเบียบวินัย รู้คุณค่าของเวลา และมีพื้นที่ในการเติบโตใช้ชีวิตเยอะมาก

ตอนแรกก่อนที่ผมกับภรรยาจะเริ่มต้นจัดตารางเวลาที่ชัดเจนให้ลูก เรากังวลว่า เวลาที่เราจัดจะไปปิดกั้นหรือตีกรอบให้ลูกมากเกินไปไหม? แต่หลังจากผ่านไป 2 ปีกว่า ผมกล้าพูดเลยว่า การจัดตารางเวลาให้ลูกและช่วยเขารักษาตารางเวลานั้นช่วยเพิ่มพื้นที่ในการเติบโตให้ลูกอย่างมาก

ตั้งแต่มีตารางเวลา ลูกชายของผมมีความสุขมากขึ้น เล่นสนุกมากขึ้น นอนง่ายขึ้น และมีเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า มันไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความประทับใจร่วมกับลูก โดยเฉพาะในตอนที่เขาอายุยังน้อยอยู่

หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

ปล. ทุกวันผมส่งอีเมลแบ่งปันเทคนิค ประสบการณ์ และแนวคิดเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การทำการตลาด การขาย การเขียน Copywriting รวมไปถึงเรื่องความสำเร็จ จิตใต้สำนึก และประสบการณ์สายมู ถ้าถูกจริตกับสิ่งที่ผมเขียนและชอบของแปลก Subscribe ได้ที่ >> https://theerathorn.com/

>