เมื่อตอนต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมโชคดีได้ Visa จากครอบครัวให้ไปนั่งกรรมฐานใช้เวลากับตัวเองที่วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม จ.ฉะเชิงเทรา เป็นเวลาถึง 7 วัน
ที่บอกว่าโชคดีเพราะที่บ้านผมไม่มีใครช่วยเลี้ยงลูก ผมทำงานอยู่ที่บ้านตั้งแต่ลูกเกิดเพื่อช่วยภรรยาเลี้ยงลูก ดังนั้นตั้งแต่ลูกชายเกิดมาผมแทบไม่เคยไปไหนไกลเลย มากสุดคือกลับบ้านดึก (4 ทุ่ม) ประมาณ 2 ครั้ง
ตอนที่กลับจากวัดหลังจากไปพบพระอาจารย์ครั้งแรกเพื่อขอภรรยาไปปฏิบัติธรรมกรรมฐาน เขารีบอนุโมทนาบุญทันที
อย่างที่บอก ผมโชคดีที่ทุกอย่างราบรื่นเป็นใจ
วันแรกของการเข้ากรรมฐาน ผมเข้าไปกราบขออนุญาตพระอาจารย์เข้ากรรมฐานเป็นเวลา 7 วันตามพิธี หลังกราบเสร็จพระอาจารย์บอกให้ไปจุดธูปบอกครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลอาณาบริเวณนั้น ท่านกำชับให้อธิษฐานว่า
“เข้ากรรมฐานครั้งนี้เพื่อตัวเองจะได้มีความสุข”
ตอนนั้นผมก็เอะใจเล็กน้อยว่าทำไมท่านถึงให้อธิษฐานเช่นนั้น แต่ก็ทำตามโดยดีเพราะยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาความสุขมันเริ่มหายากขึ้นเรื่อยๆ ที่หายากไม่ใช่มันไปไหนหรอก เราแค่มองไม่ค่อยเห็นมัน ไม่ก็หลงลืมไป
ช่วงเวลาที่ปฏิบัติกรรมฐาน 7 วันผมใช้เวลาคุยกับตัวเองเยอะ ได้ทบทวนว่าจริงๆแล้วเราทำทุกอย่างที่ผ่านมาเพื่ออะไร ได้นั่งคุยรีวิวชีวิตของตัวเองว่าที่ผ่านมาทำอะไรแล้วมีความสุข ตอนที่เราเริ่มต้นทำงานที่ทำอยู่เราเริ่มเพราะอะไร และวันหนึ่งผมก็ได้คำตอบ
มันไม่เชิงคำตอบ มันคือสิ่งที่ผมเคยอินกับมันแต่หลงลืมไปด้วยเหตุผลบางอย่าง
ผมเริ่มต้นเป็นที่ปรึกษากลยุทธ์ เริ่มออกมาพูดเรื่องการตลาดและการเขียน Copywriting เพราะต้องการให้เจ้าของธุรกิจ “มีความสุข” กับผลลัพธ์ที่ได้รับ
พูดง่ายๆผมเริ่มต้นด้วยความสุข ชอบเห็นเจ้าของธุรกิจมีความสุข แต่พอนานวันเข้าผมเริ่มหลงลืมและความสุขตรงนี้ก็ค่อยๆหายไป ไม่แปลกใจทำไมพระอาจารย์ถึงให้อธิษฐานขอความสุข เพราะถ้าเรายังไม่มีความสุขเลยจะเอาความสุขที่ไหนไปแบ่งปันคนอื่น
เดล คาร์เนกี้ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจระดับโลกและผู้เขียนหนังสือ “วิธีชนะมิตรและจูงใจคน” เคยกล่าวว่า
“มันไม่ใช่สิ่งที่คุณมี หรือคนที่คุณเป็น หรือสถานที่ๆคุณอยู่ หรือสิ่งที่คุณทำที่ทำให้คุณสุขหรือทุกข์ มันคือวิธีที่คุณคิด”
และต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมตกผลึกจากประสบการณ์ว่า มันคือความคิดที่ทำให้ความสุขออกห่างจากชีวิตเราไปเรื่อยๆ
คิดว่ามีไม่พอเลยไม่มีความสุข
แทนที่จะขอบคุณที่ทุกวันนี้ตื่นนอนมา มีสองมือ สองเท้า หนึ่งสมองและหัวใจในการเดินไปข้างหน้า หลายคนบ่นเกี่ยวกับงาน ความสัมพันธ์ รูปร่าง หน้าตา โอกาส และฐานะ
อย่าเป็นคนที่สนามหญ้าบ้านข้างๆเขียวกว่าบ้านของเราเสมอ ถ้าวันนี้ท่านยังไม่เรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าในสิ่งที่มี สิ่งที่ดีกว่าก็จะยังมาไม่ถึง
เริ่มวันนี้เลยขอบคุณทุกสิ่งที่มี เริ่มเห็นคุณค่าของสิ่งรอบตัว และ 30 วันหลังจากนี้มาดูผลลัพธ์กัน
คิดว่าทุกอย่างที่ทำต้องเป็นเหตุเป็นผล
ถ้าทุกอย่างต้องเป็นเหตุเป็นผลเสมอ ท่านจะพลาดโอกาสและความสวยงามของชีวิตอีกมากมาย
ท่านจะพลาดสีสันของชีวิต ความสัมพันธ์ที่ใฝ่ฝัน และท่านจะไม่กล้าเริ่มต้นอะไรใหม่ๆเลยเพราะมันแต่คิดว่าจะล้มเหลว หรือคู่แข่งน่ากลัว หรือตลาดมันเต็มแล้ว
คนที่มีความสุขคือคนที่ปล่อยให้หัวใจนำชีวิต ไม่ใช่สมอง คนที่มีความสุขจะเปิดรับความเสี่ยงเล็กๆน้อยๆอยู่เรื่อยๆ
คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ
หนึ่งในความคิดที่บั่นทอนโอกาสและความสุขมากที่สุด แต่ผมอยากจะบอกว่าความคิดนี้ไม่ใช่ของท่าน มันเป็นความคิดที่คนอื่นยัดเยียดให้ท่านรับเอาไว้และท่านก็ยอมรับมัน
ผมไม่รู้ว่าท่านผ่านอะไรมา แต่เมื่อใดก็ตามที่เริ่มคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ตั้งสติให้มั่น จับความคิดนี้ให้ทัน และเริ่มคิดถึงเรื่องดีๆ ความสำเร็จเล็กๆน้อยๆที่ทำได้ในแต่ละวัน
พยายามอย่าถลำลึกคิดต่อ เพราะเชื่อผมเถอะว่าอะไรที่คิดได้หลังจากนั้นมันไม่ค่อยจริงหรอก
คิดว่ารู้หมดแล้ว
ไม่ว่าท่านจะคิดว่าตัวเองรู้มากแค่ไหน แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า และยังมีอะไรที่ท่านไม่รู้อีกมากมาย
เมื่อใดก็ตามที่คิดว่ารู้หมดแล้ว ลองออกไปหาอะไรใหม่ๆทำ หรือสถานที่ใหม่ๆที่ไม่เคยไป
การคิดว่ารู้หมดแล้วคือข้ออ้างของการปิดใจ นั่นรวมไปถึงปิดกั้นไม่ให้ความสุขใหม่ๆเข้ามาด้วย
มันไม่ใช่สิ่งที่ท่านเคยรู้ที่สำคัญ มันคือสิ่งที่ท่านจะได้เรียนรู้หลังจากรู้ทุกอย่างแล้ว ที่จะสำคัญต่อชีวิตหลังจากนี้
คิดว่าชีวิตโดนทำร้ายมามากพอแล้ว
การยึดติดกับอดีตอันเจ็บปวดไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น การยึดติดกับอดีตมีผลต่อทุกอย่างที่อยู่ในไทม์ไลน์ของปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ การงาน ความสัมพันธ์ และความสำเร็จ
หนึ่งในบทเรียนที่พูดง่ายแต่ทำยากที่สุดคือการปล่อยวาง ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกผิด ความโกรธ ความรัก หรือการสูญเสีย การปล่อยวางไม่เคยง่าย แต่เหรียญมี 2 ด้านเสมอ ในเมื่อท่านต่อสู้เพื่อจะยึดสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ ทำไมไม่ต่อสู้เพื่อปล่อยวางดูบ้าง
ถ้าปล่อยโครมเดียวมันยาก ลองใช้วิธีเติมน้ำสะอาดหรือประสบการณ์ใหม่ๆเข้าไปทีละน้อย
น้ำเสียสามารถกลายเป็นน้ำใสด้วยวิธีการนี้ฉันใด หัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์ก็สามารถกลับมาสดใสได้ด้วยวิธีการนี้ฉันนั้น
คิดว่าครอบครัวคือตัวถ่วง
เคยเห็นคนที่เริ่มต้นธุรกิจหรืออะไรใหม่ๆเพื่อความสุขของครอบครัวแต่สุดท้ายก็ผลักไสครอบครัวด้วยเหตุผลที่ว่า ยุ่งสร้างความสุขให้คนในครอบครัวด้วยการทำงานจนไม่มีเวลาให้ไหม?
อย่าเป็นคนแบบนั้น อย่าเริ่มบางอย่างด้วยเหตุผลเพื่อครอบครัว แต่จบด้วยคำว่าไม่มีเวลาให้พวกเขา
ปลายทางของความคิดเช่นนี้มีแต่ความอ้างว้างเดียวดาย
ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่เส้นชัย ความสำเร็จคือการเดินทางและรอยยิ้มของคนที่อยู่ข้างๆคือส่วนหนึ่งของการเดินทาง
ชีวิตมันสั้นนะ และสักวันเราก็จะต้องจากกัน ผมมาเตือนให้เผื่อลืม
คิดว่าสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ไม่ทำร้ายเขาหรอก
ใช่ครับ ความผิดที่เจ้าทุกข์ไม่รู้จะไม่ทำร้ายเขา แต่จะทำร้ายคนที่ได้ทำผิดอย่างแน่นอน
พระอาจารย์ของผมช่วยให้ความกระจ่างข้อนี้ได้เป็นอย่างดี ท่านบอกว่า
“เวลาเราทำผิดศีลหรือทำอะไรผิด แม้ว่าจะไม่มีใครรู้ แต่ตัวเราเองรู้และเทวดาก็รู้ ความผิดที่ทำนั้นไม่ไปไหนหรอก มันคือกรรมที่รอวันส่งผล ยิ่งปิดไว้มันก็ยิ่งกัดกิด สู้ยอมรับกับตัวเอง สำนึกผิด และเดินต่อดีกว่า”
คิดว่าข้าเก่ง ข้าเจ๋ง
อะแฮ่ม เมื่อใดก็ตามที่มีความคิดแบบนี้ เราต้องเช็คอัตตาแล้วแหละ
ท่านต้องอย่าลืมว่า สิ่งเดียวในโลกใบนี้ที่มั่นคงและแน่นอนคือ ความเปลี่ยนแปลง และเมื่อใดก็ตามที่ท่านคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น ท่านจะเริ่มปิดใจไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งไม่ช้าก็เร็วท่านจะตกเป็นเหยื่อของความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
อัตตานั้นร้าย มันจะขัดขวางไม่ให้ท่านยอมรับว่าตัวเองไม่รู้ ขัดขวางไม่ให้ยอมรับว่าทำผิด ขัดขวางไม่ให้ท่านพูดคำว่าขอโทษ ขัดขวางไม่ให้ท่านเป็นน้ำครึ่งแก้ว ขัดขวางไม่ให้ยอมรับว่าความสำเร็จของท่านคนอื่นก็มีส่วนเหมือนกัน
พูดง่ายๆ มันขวางไม่ให้ท่านทำในสิ่งที่นำความสุขมาสู่ชีวิต
จับมันให้ได้ ไล่มันให้ทัน และอย่าไปยอมให้มันบงการชีวิต เพียงเท่านี้ความสุขที่ตามหาก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว
หวังว่าจะมีประโยชน์นะครับ และขอให้พบความสุขที่ทำหล่นหายไปกันไวๆ
OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์
ปล. ผมส่งอีเมลหา Subscriber ทุกวัน ใครสนใจของแปลกตามไป Subscribe ได้ที่ https://www.theerathorn.com พร้อมรับหนังสือเสียงเป็นของขวัญได้เลย