เหตุผลที่ผมปฏิเสธคำขอให้ไปเป็นที่ปรึกษากลยุทธ์แบบไร้เยื่อใย
เขียนโดย Jesse Theerathorn | Entrepreneur | 0 Comments
ตั้งแต่เริ่มออกมาพูดเรื่องกลยุทธ์ธุรกิจ การตลาด การขาย และ Copywriting เมื่อปี 2016
หนึ่งในบริการที่ผมเนื้อหอมมากๆ คือ การเป็นที่ปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษากลยุทธ์ธุรกิจ ที่ปรึกษาการตลาด ที่ปรึกษาการขาย และที่ปรึกษาการเขียน Copywriting
ในแต่ละปีผมจะรับเป็นที่ปรึกษา VIP ให้ 5 ธุรกิจ และนานๆครั้งถ้าว่างจะรับเป็นที่ปรึกษารายวันสำหรับแก้ปัญหาและให้คำแนะนำทั่วไป
ที่ว่างสำหรับ VIP ทั้ง 5 ธุรกิจที่ผมช่วยวางกลยุทธ์ สร้าง Funnel ดูแลสคริปต์การขาย และช่วยรีวิว Content + Copywriting ไม่ได้เปลี่ยนมา 3 ปีแล้ว ทุกคนยัง Happy ดีอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะลาออกจากการเป็น VIP
ส่วนงานที่ปรึกษารายวันที่มีคนติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ ผมมีอัตราการปฏิเสธงานถึง 90%! นั่นแปลว่าติดต่อเข้ามา 10 ผมรับแค่ 1 ธุรกิจเท่านั้น
ผมไม่ได้หยิ่ง และไม่ได้ปฏิเสธมั่วซั่ว ทุกเคสที่ติดต่อเข้ามาผมมีแค่ 2 หลักเกณฑ์ในการเลือกรับงาน
1. ผมจะเข้าไปดูว่าเขาเป็นนักเรียนร้อยสำนัก นักสะสมคอร์สออนไลน์ หรือติ่งกูรูไหนเป็นพิเศษไหม
ถ้าคำตอบคือ ใช่ ผมจะปฏิเสธทันที เพราะโอกาสที่สิ่งที่ผมพูดมันจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาเรียนมามีสูงมาก ทำๆไปจะมีแต่เอ๊ะแต่อ๊ะ ไม่ก็จบจากผมไปก็ไปไล่ตามหาสำนักอื่นต่อ
มันไม่ผิดอะไร การเรียนรู้เป็นเรื่องที่ดี ผมแค่มีจุดยืนไม่ให้คำปรึกษาขัดแย้งกับใคร และการเปลี่ยนความคิดหรือความเชื่อที่ฝังหัวไปแล้วเป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานเยอะเกินไป
ถ้าข้อนี้ผ่าน ผมจะเข้าไปศึกษาธุรกิจที่เขาทำ จากนั้นจะไปข้อถัดไป
2. ผมจะเช็คว่าเขารู้จักผมดีแค่ไหนและเห็นค่าเวลาของผมจริงไหม
คนที่ติดตามผมมานานย่อมรู้ดีว่าผมเห็นคุณค่าของเวลาขนาดไหน ทั้งของตัวผมเองและของคนที่ผมคุยด้วย
ผมจะให้ผู้ช่วยของผมโทรไปแจ้งรายละเอียดค่าใช้จ่าย พร้อมเงื่อนไขการชำระเงินที่เป็นการชำระเงินล่วงหน้าเต็มจำนวน จากนั้นค่อยนัดเวลาสัมภาษณ์กันสั้นๆว่าต้องการให้ผมช่วยอะไร และหลังสัมภาษณ์จบค่อยนัดวันนัดพบ
แน่นอนด้วยค่าตัวของผมที่สูงพอประมาณ ผมค่อนข้างจะคาดหวังให้ทุกคนที่ได้ยินบอกว่า ราคาสูงและขอกลับไปคิดดูก่อน ซึ่งตรงนี้ผมจะยังไม่ปฏิเสธ ผมไม่ได้ใจร้ายหรือต้องการบีบบังคับใครขนาดนั้น
แต่ Keyword ที่จะทำให้ผมปฏิเสธทันทีเลยคือ "ยังไม่ชัวร์ว่าอาจารย์จะช่วยอะไรได้" หรือ "ขอคุยก่อนได้ไหม" หรือ "พอจะบอกได้ไหมว่าอาจารย์เคยรับเป็นที่ปรึกษาที่ไหนมาบ้าง"
ล่าสุดสดๆร้อนๆเลย ผมเพิ่งบอกให้ผู้ช่วยปฏิเสธไปท่านหนึ่งเพราะมี 1 ใน 3 Keyword นี้ในการสนทนา
ผมมีเหตุผลที่ดีมากๆในการปฏิเสธ Keyword เหล่านี้ และเบื้องหลัง Keyword เหล่านี้ชี้มาที่เหตุผลๆเดียว
=====
เขายังไม่รู้จักผมดีพอ
=====
ไม่รู้จักดีพอนี่ไม่ใช่ยังไม่รู้ฤทธิ์เดชของผมหรืออะไรเทือกนั้นนะ ไม่รู้จักดีพอคือ ยังไม่รู้หรือยังไม่ได้ศึกษาหรือยังไม่ได้ส่องว่าผมสามารถทำอะไรหรือช่วยอะไรได้บ้าง
อารมณ์ประมาณไปแว่วมาจากต้นไม้ข้างบ้านว่าช่างไม้คนนี้ช่วยแก้ปัญหาประมาณนี้ได้ ก็เลยลองติดต่อมาดู ซึ่งมันจะเป็นปัญหาแน่นอนเพราะถ้ายังไม่รู้จักกัน น้ำหนักของคำแนะนำของผมจะลดลงทันที และนั่นคือความเสี่ยง
เขาไม่ผิดเลย มันเป็นเรื่องธรรมชาติมากที่จะรู้สึกเช่นนี้ หน้าที่ของผมคือช่วยให้เขารู้จักผมได้ดีมากขึ้น ซึ่งบ่อยครั้งสิ่งที่ผมแนะนำก็เกินพอจนไม่ต้องให้ผมเป็นที่ปรึกษาแล้ว
เคสล่าสุดผมแนะนำให้ผู้ช่วยของผมปฏิเสธงานที่ปรึกษาไปอย่างสุภาพ และให้เขารู้จักกับผมผ่าน The Ohmpiang Letter เสียก่อน
Volume ที่ผมแนะนำให้เริ่มสำหรับเคสที่ปรึกษาที่ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วนโดยไม่ต้องการเพิ่มงบการตลาดคือ Volume 2 : พลังของการ Leverage ในธุรกิจ และตัวอย่างเคสของการใส่แรงเพิ่มเพียง 10% แต่ได้กำไรกลับมาเกือบ 2 เท่า ที่ตอนนี้เหลือแค่เวอร์ชั่น Audio Book แล้ว
The Ohmpiang Letter Vol. 2 : พลังของการ Leverage ในธุรกิจ และตัวอย่างเคสของการใส่แรงเพิ่มเพียง 10% แต่ได้กำไรกลับมาเกือบ 2 เท่า เวอร์ชั่น Audio Book ราคา 2,190 บาท (ฟังผ่านแอพ OHMPIANG)
พิเศษ! สั่งซื้อ The Ohmpiang Letter Vol. 2 วันนี้รับฟรีหนังสือ The Ohmpiang Growth Factor มูลค่า 2,190 บาทส่งตรงถึงบ้าน
ถ้าสนใจสามารถติดต่อทีมงานที่ไลน์ @ohmpiang (ใส่ @ ด้วย) บอกทีมงานว่า "The Letter Vol. 2"
OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์
ปล. สำหรับอดีตสมาชิก The Ohmpiang Letter ทุกคนที่เคยได้รับ Volume 2 ไม่ต้องกังวลไป ท่านสามารถติดต่อทีมงานเพื่อเช็คสถานะสมาชิกและเข้าไปฟังได้เลย