หลายเดือนก่อน ทีมงานของผมแคปหน้าจอส่งข้อความมาให้ดู เป็นข้อความของลูกค้าเก่ามากๆคนหนึ่ง

ผมดูวันที่ๆเขาทักมาแล้ว ฟันธงเลยว่านี่ต้องเป็นลูกค้าคนแรกๆของผมแน่นอน แต่เมื่ออ่านแล้วก็แอบเสียดายแทนเล็กๆ

=====

สวัสดีครับทีมงาน ผมเพิ่งเปิดอ่าน Scientific Advertising ที่ซื้อมาเมื่อ 5 ปีก่อนเป็นครั้งแรก และก็ได้แต่บอกตัวเองว่า เราคิดบ้าอะไรอยู่ถึงไม่ได้อ่านตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องเสียเวลา เสียเงิน และเสียธุรกิจขนาดนี้

=====

ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับ แต่ผมมีเรื่องจะเล่าให้ท่านฟัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชาวนาคนหนึ่ง เป็นชาวนาที่มีฐานะดีกว่าชาวนาทั่วไป เพราะเขามีม้า และไม่ใช่ทุกคนจะมีม้าได้

วันหนึ่งม้าของเขาหนีออกจากคอกไป ชาวนาจึงเข้าเมืองไปตามหาม้า

ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “โอว เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ม้าของคุณหายไป”

ชาวนาตอบว่า “อืม อาจจะดี อาจจะไม่ดี ไม่มีใครรู้ได้”

วันต่อมา ม้าของเขากลับมาเอง ชาวนาคิดว่าที่ม้าหนีไปคงเหงา จึงไปต้อนม้าป่าเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนอีก 3 ตัว ตอนนี้เขามีม้า 4 ตัว

หลังจากนั้นไม่นานเขาเข้าเมืองไปซื้อของ และทุกคนในเมืองต่างพูดว่า “คุณโชคดีมาก พระเจ้าเข้าข้างคุณ ได้ม้าเพิ่มทีเดียว 3 ตัว”

ชาวนาผู้ชาญฉลาดตอบว่า “อืม อาจจะดี อาจจะไม่ดี ไม่มีใครรู้ได้”

วันต่อมาลูกชายของเขาพยายามปราบพยศม้าป่า แต่โดนสะบัดตกลงมาขาหัก

ข่าวแพร่ถึงชาวเมือง และทุกคนต่างพูดว่า “โอว เสียใจด้วยนะเรื่องลูก”

ชาวนาผู้นั้นตอบว่า “อืม อาจจะดี อาจจะไม่ดี ไม่มีใครรู้ได้”

วันต่อมา มีคนกลุ่มหนึ่งเดินทางมาคัดเลือกทหารเกณฑ์ เพราะประเทศกำลังจะเข้าสู่สงคราม

แน่นอนลูกชายของชาวนารอด เพราะขาหัก และอย่างที่ชาวนาผู้ชาญฉลาดพูด “อืม อาจจะดี อาจจะไม่ดี ไม่มีใครรู้ได้”

สิ่งที่เกิดขึ้นข้างบนกับนักสะสมหนังสือมือฉมังมันอาจจะดี อาจจะไม่ดี ไม่มีใครรู้ได้ เช่นเดียวกับสมาชิกอีเมลมนุษย์ถ้ำท่านหนึ่งที่ถามเข้ามาถึง The Ohmpiang Letter Vol. 3 ว่า

=====

อ่านอีเมลของอาจารย์เมื่อวานแล้วอิน ถ้าพระบิดามั่นใจในปลาร้ากับข้าวเกรียบถึงขึ้นกล้าเอาไปวางขายตามร้าน กล้าโปรโมทให้สาวกกิน รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆในสำนัก ทำไมเราจะมั่นใจในสินค้าดีๆของเราแบบนั้นไม่ได้ แต่คำถามคือ The Letter มันจะเหมาะกับธุรกิจของเราไหม

=====

คำตอบของผม…

“อืม อาจจะดี อาจจะไม่ดี ไม่มีใครรู้ได้”

เวลาและการตัดสินใจเท่านั้นที่จะช่วยให้ได้คำตอบที่ต้องการ

The Ohmpiang Letter Vol. 3 ราคา 2,190 บาทจากปกติ 2,490 บาท

ข่าวดีคือสั่งซื้อวันนี้ท่านจะได้ทั้งเวอร์ชั่นจดหมายส่งตรงถึงบ้าน และเวอร์ชั่นหนังสือเสียงฟังผ่านแอพ OHMPIANG

พิเศษ! สำหรับท่านที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของจดหมายจากมนุษย์ถ้ำเลยสักฉบับ สั่งซื้อ The Ohmpiang Letter Vol. 3 วันนี้รับฟรีหนังสือ The Ohmpiang Growth Factor มูลค่า 2,190 บาทส่งตรงถึงบ้านทันทีเช่นกัน

สั่งซื้อติดต่อทีมงานที่ไลน์ @ohmpiang (ใส่ @ ด้วย) บอกทีมงานว่า “The Letter Vol. 3”

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

ปล. The Ohmpiang Letter Vol.3 เวอร์ชั่นจดหมายส่งตรงถึงบ้านเหลืออีกไม่มากแล้ว ถ้าหมดแล้วคือหมดเลย และจะได้รับแค่เวอร์ชั่นหนังสือเสียงเท่านั้น

หมายเหตุ – The Ohmpiang Letter เป็นจดหมายลับรายเดือนจากมนุษย์ถ้ำส่งตรงถึงบ้านท่าน แต่ละฉบับหนาประมาณ 30 หน้าเท่านั้น

“เจ้าพวกคนเถื่อน ไร้ซึ่งศรัทธา ห้ามเอาเครื่องมือโสโครกไปทำให้กำแพงแปดเปื้อนนะเฟ้ย!”
                                             บาทหลวงนิค, โบสถ์กำแพงศักดิสิทธิ์ (Attack On Titan)

เคยไหมครับเวลาดูหนังหรือการ์ตูน มันจะมีตัวละครตัวนึงที่มันน่ารำคาญมากๆ ส่วนใหญ่พวกนี้จะใช้ความเชื่อระดับพระบิดาเป็นอาวุธ

ติด Top 3 ที่ผมรำคาญสุดๆคือ 

1. อีป้าใน Super หนังเรื่อง The Mist 
2. High Sparrow จาก Game of Throne
3. บาทหลวงนิค โบสถ์กำแพงศักดิ์สิทธิ์จาก Attack On Titan

อันนี้เอาเฉพาะหมวดหมู่นี้นะ ไม่นับตัวร้าย เราพูดแค่ตัวที่มีคนติดตามเยอะๆ

ถึงมันจะน่ารำคาญ ขัดใจ และหงุดหงิด แต่ตัวละครน่ารำคาญในหนัง (และในชีวิตจริงหลายตัว) ดันมีบางอย่างที่ฝ่ายพระเอกคนดีๆปกติทั่วไปต่อให้พยายามแค่ไหนก็อาจมีไม่เท่าพวกมัน

1. สาวกอันเหนียวแน่นที่พร้อมจะเอาตัวเข้าบังกระสุนแทน

2. ยิ่งพูด ยิ่งพล่าม ยิ่งลงมือทำ ต่อให้ดูไร้สาระ แต่ก็มีคนดีๆเข้าไปเป็นสาวกเพิ่มเรื่อยๆ

ถึงส่วนใหญ่จะจบกันไม่ค่อยสวย แบบไม่สาวกตาสว่าง (หลังเหตุการณ์เปิดโปงอันสุดทน) ก็เจ้าลัทธิโดนสอย หรือไม่ก็สาวกนั่นแหละโดนสอย

แปลกไหมอะ?

ฝ่ายพระเอกนี่ทำดีแทบตาย พยายามแทบตาย Live ให้ความรู้แทบตาย ต้องให้ปางตายก่อนนั่น คนถึงจะเริ่มเห็นความดี

ผมเห็นความเห็นของกอล์ฟ และอีกหลายคนในวงการบันเทิงที่บอกประมาณว่า

=====

ซ้อมเต้นวันละ 10-14 ชั่วโมง ติดต่อกันหลายปี ดิ้นรนทุกทาง แต่สื่อและสังคมกลับไปให้คุณค่ากับกิจกรรมบนสันเขื่อนมากกว่า

=====

ถึงผมจะเชื่อในกฎแห่งกรรม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ชวนให้คิด…

แต่ในทางกลับกัน มันมีบทเรียนบางอย่างในทุกอย่างที่เกิดขึ้น บ่นได้ น้อยใจได้ โมโหได้ พิโรธได้ แต่ลองคิดดูสิว่า เหตุอันใดทำไมตัวละครน่ารำคาญถึงทำเช่นนั้นได้ ยิ่งทำให้คนดูหงุดหงิดมากเท่าไหร่ สาวกยิ่งเยอะ? 

คำตอบคือ ความชัดเจนครับ ชัดเจนระดับ… นี่มึงไปเอาความมั่นใจเลเวลนี้มาจากไหนวะ

ในขณะที่ฝ่ายพระเอกถึงจะมั่นใจแต่ถ้าเทียบกันแล้วไม่ได้เสี้ยว (ส่วนใหญ่คนดีจะมั่นใจระดับขี้ไคล แต่พวกนี้จะมั่นใจระดับจักรวาล)

The Ohmpiang Letter Vol. 3 จะพูดถึงความชัดเจนและวิธีที่คนเหล่านี้ส่งต่อพลังของความชัดเจนเพื่อสร้างสาวกที่พร้อมจะเอาตัวขวางกระสุนให้พวกเขา

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพระเอก ฝ่ายคนดีๆปกติทั่วไป ฝ่ายตัวประกอบฉาก หรือฝ่ายลัทธิมาร ขอเพียงทำตามสิ่งเดียวที่ตัวละครน่ารำคาญพวกนี้ทำ ท่านจะมีผลลัพธ์แบบที่พวกนี้มี (ผู้ติดตามอันเหนียวแน่น และยิ่งพูด ยิ่งลงมือทำ ยิ่งมีคนดีๆเข้ามาเป็นผู้ติดตาม)

The Ohmpiang Letter Vol. 3 ราคา 2,190 บาทจากปกติ 2,490 บาท

ข่าวดีคือสั่งซื้อวันนี้ท่านจะได้ทั้งเวอร์ชั่นจดหมายส่งตรงถึงบ้าน และเวอร์ชั่นหนังสือเสียงฟังผ่านแอพ OHMPIANG

พิเศษ! สำหรับท่านที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของจดหมายจากมนุษย์ถ้ำเลยสักฉบับ สั่งซื้อ The Ohmpiang Letter Vol. 3 วันนี้รับฟรีหนังสือ The Ohmpiang Growth Factor มูลค่า 2,190 บาทส่งตรงถึงบ้านทันทีเช่นกัน

สั่งซื้อติดต่อทีมงานที่ไลน์ @ohmpiang (ใส่ @ ด้วย) บอกทีมงานว่า “The Letter Vol. 3”

OHMPIANG
เจษ

ปล. The Ohmpiang Letter Vol.3 เวอร์ชั่นจดหมายส่งตรงถึงบ้านเหลืออีกไม่มากแล้ว ถ้าหมดแล้วคือหมดเลย และจะได้รับแค่เวอร์ชั่นหนังสือเสียงเท่านั้น

หมายเหตุ – The Ohmpiang Letter เป็นจดหมายลับรายเดือนจากมนุษย์ถ้ำส่งตรงถึงบ้านท่าน แต่ละฉบับหนาประมาณ 30 หน้าเท่านั้น

ทุกครั้งที่ผมไปให้คำปรึกษา ผมจะมีข้อตกลงสำคัญร่วมกับลูกค้าทุกคน

นั่นคือ อย่าคาดหวังว่าผมจะให้ทำอะไรยิ่งใหญ่อลังการ เพราะผมจะโฟกัสแต่เรื่องเล็กๆที่ถูกมองข้าม

สาเหตุน่ะหรอครับ… จากประสบการณ์ของผม

=====

น้อยมากที่ผมจะเห็นปัญหาใหญ่ หรือการตัดสินใจอะไรใหญ่ๆ ทำให้ธุรกิจพัง

ส่วนใหญ่มันคือเรื่องเล็กๆ การตัดสินใจยิบย่อยรายวัน ที่พอสะสมมากขึ้นแล้วกลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นปัญหาเรื้อรัง

=====

การไม่เช็คยอดขายกับทีมงานทุกวัน การไม่ดูต้นทุนคงที่ทุกเดือนหรือทุกไตรมาส การไม่เทียบราคาต้นทุนสินค้าทุกครั้งที่รับของเข้า การละเลยงานพื้นฐานบางอย่าง ทุกอย่างล้วนส่งผลต่อธุรกิจทั้งสิ้น

ยิ่งไปกว่านั้นผมพบว่า ถ้ามันได้เกิดขึ้นในธุรกิจ มันจะเกิดขึ้นในด้านอื่นๆของชีวิตเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ความสัมพันธ์ สุขภาพ และการเงิน ทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันหมดเหมือนโดมิโน่

และผมก็ค้นพบด้วยว่าผู้ร้ายคนสำคัญในคดีนี้ไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกไปจาก “ความคิด”

ส่วนใหญ่แล้วหายนะอันยิ่งใหญ่เริ่มจากความคิดหยุมหยิมอย่าง

“งานนี้เอาไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวค่อยทำพรุ่งนี้ หรือมะรืน หรืออาทิตย์หน้า”

“ฉันไม่มีเวลา”

“ฉันไม่เก่งพอที่จะทำ”

“ฉันเก่งเกินกว่าที่จะทำ”

“ฉันเจ็บมาพอแล้ว ไม่เอาแล้ว”

ผมพูดเรื่องนี้เพราะไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว การไปถึงเป้าหมายหรือการพลาดเป้าหมาย ความสุขหรือความทุกข์ เริ่มต้นที่ “ความคิด” และข่าวดีคือ ความคิดเป็นสิ่งที่มนุษย์ควบคุมได้หากท่านพร้อมเปิดใจที่จะเรียนรู้

หนังสือที่สอนวิธีการควบคุมและเปลี่ยนความคิดได้ดีที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้นคือ The Power of Your Subconscious Mind และอย่างที่ผมบอกเอาไว้ในอีเมลเมื่อวานและเมื่อวานซืน

กระบวนการในหนังสือเล่มนี้สำคัญมาก และที่สำคัญไม่แพ้กันคือสคริปต์ที่ท่านใช้พูดกับตัวเอง

อ่านรายละเอียดและสั่งซื้อ
>> https://ohmpiang.com/the-power-of-your-subconscious-mind/

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

ในหนังสือ Psycho Cybernetics ของ Dr. Maxwell Maltz เขียนเอาไว้ว่า

===

วันหนึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งโทรหา Dr. Maxwell Maltz เขาโทรมาเพราะมีเรื่องกลุ้มใจจะปรึกษา

ผู้ชายคนนี้บอกว่า “เขาโดนฟ้องล้มละลาย ชีวิตของเขาพังพินาศย่อยยับ ไม่เหลือแล้วซึ่งเกียรติยศใดๆ”

Dr. Maxwell Maltz ขัดทันทีก่อนที่ชายคนนั้นจะทันพูดต่อว่า

“เดี๋ยวก่อนนะครับ ความจริงคือ คุณโดนฟ้องล้มละลาย ส่วนที่บอกว่าชีวิตของคุณพังพินาศย่อยยับ ไม่เหลือแล้วซึ่งเกียรติยศใดๆ เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นครับ”

===

มันมีบทเรียนมากมายจากเรื่องนี้

อย่างแรก ความจริงกับความคิดเห็นไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

ชายคนนี้โดนฟ้องล้มละลายก็จริง และที่เขาจิตตกก็เพราะเขาไปได้ยิน ได้ฟังมาว่าคนล้มละลายทุกคนชีวิตพังทลายแบบไม่มีวันหวนคืนกลับมา ซึ่งเขาเลือกจะเชื่อและยอมให้ความเห็นนั้นบั่นทอนกำลังใจของเขา ทั้งที่ความจริงแล้วเขาแค่โดนฟ้องล้มละลายเท่านั้น

อย่างที่สอง ความคิดเห็นมันเนียนมาก

ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าความคิดเห็นของคนอื่นจะเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตของท่านได้มากแค่ไหนหรือเข้ามาเมื่อไหร่ มันอาจมาจากพ่อ แม่ ครู ครอบครัว คนรัก เพื่อน ผู้เชี่ยวชาญ หรือแม้แต่ป้าข้างบ้าน รู้แค่ว่ามันแนบเนียนและทำตัวได้กลมกลืนมาก จนบางทีเราสร้างเป็นสมการในหัวตัวเองเลยว่า ถ้าเกิด X แล้ว Y กับ Z ต้องเกิดตามทันที

อย่างที่สาม เรามีทางเลือกเสมอ

ในเคสข้างบน เขาเชื่อและอนุญาตให้ความคิดเห็นมีผลต่อชีวิตของเขาไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้าอนุญาตต่อไปเรื่อยๆ สิ่งที่เขาเชื่อจะเป็นความจริงตามกฎของจิตใต้สำนึก

ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องขัดและเตือนว่า เขามีทางเลือก โดนฟ้องล้มละลายอ่ะเรื่องจริง แต่ความชิบหายที่ยังไม่เกิดขึ้นน่ะความคิดเห็น อย่าไปใส่พลังให้มันเป็นจริงสิฟะ

หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะต่อสู้กับความคิดเห็นแบบตัวอย่างข้างบนคือการใช้คำอธิษฐานต่างๆที่อยู่ในหนังสือแปล The Power of Your Subconscious Mind

กติกาของเกมนั้นง่ายมาก เมื่อใดที่จับได้ว่าตัวเองกำลังคิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ ให้พูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการทันที

สำคัญคือ สคริปต์ที่จะพูด และในหนังสือมีบอกไว้หมดแล้วสำหรับทุกสถานการณ์

อ่านรายละเอียดและสั่งซื้อได้ที่
>> https://ohmpiang.com/the-power-of-your-subconscious-mind/

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

แต่ไหนแต่ไรละที่ผมเรียนรู้ว่าเวลาพูดเรื่องธรรมะ จะมีอยู่หัวข้อหนึ่งที่ห้ามพูด พูดทีไรดูจะเป็นประเด็นทุกที ครั้งนี้ก็เช่นกันที่มันชัดเจนมาก

เรื่องมีอยู่ว่าช่วงที่ทุกคนในประเทศเห่อ Clubhouse (ถ้าใครเกิดไม่ทัน มันเป็นแอพสัจธรรมที่สอนผมว่าคนอยากจะพูด โต้เถียง วิจารณ์ โชว์พาว มีมากกว่าคนอยากจะฟังและเรียนรู้)

มีคนมาชวนผมเข้าไปห้องแนวธรรมะที่ชื่อว่า “อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต?”

สาเหตุที่เขาชวนไม่ใช่อะไรเลย เขาแค่ต้องการคนที่มี Follower เยอะๆ เข้าไป ทุกคนที่เป็นผู้พูดจะได้รับอานิสงฆ์ร่วมกัน มันเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการสร้างผู้ติดตาม

ตอนที่ได้รับคำเชิญผมคิดในใจและหลังไมค์ไปหาคนเชิญว่า “นี่คิดดีแล้วเหรอชวนตรูเนี่ย…”

เขาตอบมาว่า “เป็นเนื้อแท้ได้เลยอาจารย์” 

โอเค เนื้อแท้… ได้เลย จัดไป

และแล้วคิวของผมก็มาถึง Moderator ก็บิ้วเต็มที่ และเมื่อสปอตไลท์สาดมาตรงหน้าพร้อมกับคำถามหล่อๆว่า

“สำหรับอ. เจษอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต?”

ผมตอบทันทีว่า

===

เงิน

=== 

สิ่งที่เกิดขึ้นพอผมพูดว่า “เงิน” คือ บรรดา Guest ที่ยกมือแชร์ธรรมะ แชร์เรื่องราวซึ้งๆน้ำตาจิไหล กดออกจากห้องพร้อมกัน 3 คน (เป็นอะไรที่คาดการณ์ได้ มันไม่ใช่ครั้งแรก แต่มันทำให้ผมประหลาดใจได้ทุกครั้ง)

ผมประหลาดใจเพราะหลายคนทำเหมือนกับว่า เงิน เป็นสิ่งชั่วร้าย เป็นของแสลง เป็นสิ่งที่ไม่ควรหยิบยกขึ้นมาพูดในวงสนทนาของผู้เจริญ

เอาจริงๆนะ เมื่อก่อนผมก็เป็นเช่นนั้นแหละ มันเลยขำไงว่า เออ มีคนเหมือนเราเมื่อก่อนค่อนข้างเยอะแฮะ แต่ผมเปลี่ยนไปเพราะหนังสือ 2 เล่ม

เล่มแรก The Science of Getting Rich ที่บอกว่า

“ต่อให้ ‘ความยากจน’ จะได้รับการสรรเสริญ เยินยอ อุ้มชูให้ดูสูงส่งเพียงใด แต่ความเป็นจริงคือ ชีวิตของท่านจะไม่ได้รับการเติมเต็ม ไม่มีความสมบูรณ์พร้อม และไม่ประสบความสำเร็จ หากท่านไม่รวย

ไม่มีใครสามารถทะยานขึ้นไปสู่จุดที่สูงที่สุดของศักยภาพทางโลก หรือความสงบสูงสุดทางจิตวิญญาณได้ หากปราศจากทรัพยากรที่มากพอ เหตุว่าท่านจะต้องมีทรัพยากรอย่างเพียงพอเพื่อเปิดประตูแห่งความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณบานต่อไป และเพื่อพัฒนาศักยภาพทางโลกให้สูงขึ้น

ประเด็นคือ ทรัพยากรเหล่านั้นต้องใช้เงินในการซื้อ… ท่านสามารถพัฒนาความคิด พัฒนาจิตวิญญาณ และพัฒนาร่างกายให้มีศักยภาพมากขึ้นได้ด้วยการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรต่างๆ

ที่สำคัญสังคมก็ถูกออกแบบมาเพื่อบังคับให้ท่านต้องมีเงิน ถึงจะเป็นเจ้าของทรัพยากรต่างๆได้

ดังนั้น… หลักพื้นฐานที่จะช่วยให้ท่านก้าวไปข้างหน้าได้ ต้อง ตั้งอยู่บนศาสตร์แห่งความร่ำรวย”

ส่วนอีกเล่มคือ The Power of Your Subconscious Mind บอกว่า

“สาเหตุที่คุณไม่มีเงิน หรือยังไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการ เพราะคุณทำท่าทีรังเกียจเงินและความสำเร็จไงล่ะ การที่วันนี้เราพูดไม่ดีเกี่ยวกับเงิน หรือนินทาว่าร้ายคนที่ประสบความสำเร็จ นั่นหมายถึงเรากำลังบอกจิตใต้สำนึกว่า เราไม่ต้องการเงิน เงินเป็นสิ่งไม่ดี จิตใต้สำนึกเลยจัดให้ตามนั้น”

 สำหรับผม เงิน ไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายครับ ความยึดติดต่างหากคือต้นกำเนิดของความทุกข์และสิ่งชั่วร้าย ไม่ว่าจะเป็นยึดติดในเงิน ในวัตถุ ในความสัมพันธ์ ในความเลว และแม้แต่ยึดติดในความดี…

หนังสือทั้ง 2 เล่มผมแปลเรียบร้อยแล้ว The Science of Getting Rich เป็น Visual Book และมาพร้อมการ์ดมหัศจรรย์ที่มีคำตอบให้สำหรับทุกสถานการณ์ด้วย

บางทีคำตอบของคำถามที่ว่า “ทำงานมาก็หนัก ทำไมยังไม่มีเงิน หรือไม่สำเร็จ หรือไม่มีความสุขเสียที” อาจจะอยู่ในหนังสือ 2 เล่มนี้ก็ได้

อ่านรายละเอียดและสั่งซื้อ The Science of Getting Rich พร้อมการ์ดได้ที่
>> https://theerathorn.com/the-science-of-getting-rich/5-sins-to-my-success/

ส่วน The Power of Your Subconscious Mind ปกแข็ง ขลัง ควรค่าแก่การสะสม อ่านรายละเอียดและสั่งซื้อได้ที่
>> https://ohmpiang.com/the-power-of-your-subconscious-mind/

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

ถึงแฟนหนังสือผู้ไม่ธรรมดาของ OHMPIANG ที่รัก,

เมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้ว มีคนๆหนึ่งถามคุณหมอนักจิตวิทยาเจ้าของรางวัลโนเบลชื่อดังว่า

“คุณหมอครับ ถ้าสิ่งที่คุณหมอพูดเป็นเรื่องจริงที่ใครๆก็ประสบความสำเร็จได้ มีทรัพยากร และมีโอกาสมากพอสำหรับทุกคน แต่ทำไมจำนวนคนที่ใช้ชีวิตค่าเฉลี่ยธรรมดาทั่วไป ชีวิตไม่ไปถึงไหนเสียที ถึงมากกว่าคนที่ประสบความสำเร็จหลายเท่านัก ปัญหามันอยู่ตรงไหนครับคุณหมอ?”

คุณหมอได้ฟังคำถามก็เงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นตอบว่า

“ปัญหาคือ คนธรรมดาส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้ความคิดกัน คนส่วนใหญ่ทำตาม ใครว่าอะไรดีก็ว่าตามนั้น”

เราอยู่ในยุคทองของมนุษยชาติ ยุคที่มีแต่ความก้าวหน้า มีการคิดค้นเทคโนโลยีมากมาย มีทรัพยากร มีข้อมูล มีความรู้ มีโอกาส มีทุกอย่างพร้อมสำหรับความสำเร็จที่บรรพบุรุษของเราเฝ้าฝันถึงมาตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา

แต่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นคุณค่าและศักยภาพที่แท้จริงของสิ่งที่ตัวเองมี…

ด้วยเหตุนี้ตัวเลขของคนสำเร็จมีเพียง 5% ของคนทั้งโลก

คำถามสำคัญคือ แล้วคนสำเร็จคือใคร? มีคุณสมบัติอะไร? ต้องมีเงินเป็นร้อยล้านพันล้านไหม? และแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปอย่างไร?

คนสำเร็จคือ คนที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร กำลังเดินไปทางไหน และกำลังเข้าใกล้สิ่งที่ต้องการด้วยการลงมือทำในแต่ละวัน ในขณะที่คนธรรมดาพร้อมที่จะทำตามกระแสสังคมและอยู่ในกรอบของสิ่งที่กำหนดมาแล้ว

คนสำเร็จคือ คนที่พูดว่า “ฉันต้องการสิ่งนี้” จากนั้นลงมือทำเพื่อให้ได้สิ่งนั้น

คนสำเร็จคือ คนที่เลือกอาชีพสอนหนังสือเด็กเล็ก เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องการจะทำ

คนสำเร็จคือ คุณแม่ที่อุทิศชีวิตทุ่มเทเวลาให้กับการเลี้ยงลูกและทำได้อย่างดี เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เธออยากทำมาตลอด

คนสำเร็จคือ คนที่เริ่มต้นธุรกิจเล็กๆที่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้แม้จะไม่มีใครเห็นด้วย เพราะธุรกิจนั้นเป็นสิ่งที่เขารักและต้องการที่จะทำตั้งแต่เล็ก

คนสำเร็จคือ นักขายคนหนึ่งที่ต้องการทำยอดเยอะๆ และพัฒนาตัวเอง สั่งสมประสบการณ์ จนกลายเป็นนักขายผู้ยิ่งใหญ่

คนสำเร็จคือใครก็ตามที่ลุกขึ้นมาตัดสินใจว่าสิ่งไหนดีที่สุดสำหรับตัวเอง จากนั้นพัฒนา เติบโต และลงมือทำเพื่อเป้าหมายบางอย่างที่เขาตัดสินใจแล้วว่า มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ

แฟนหนังสือของ OHMPIANG ไม่มีสักคนที่เป็นคนธรรมดา…

ข้อพิสูจน์คือ ท่านเลือกเครื่องมือที่ดีที่สุดในการพัฒนาตัวเองและเติบโต ซึ่งสิ่งนั้นคือหนังสือทุกเล่มของ OHMPIANG ที่อ่านง่าย ลึกซึ้ง และสามารถลงมือทำตามได้ทันที

ท่านเห็นคุณค่าของเวลาและเงินที่ต้องใช้ในการลงทุน ท่านซื้อหนังสือของเราเพราะต้องการหนังสือที่เต็มไปด้วยความรู้ที่สามารถอ่านจนจบได้จริงโดยใช้เวลาไม่นาน

ที่สำคัญเมื่อนำไปใช้แล้วท่านมีผลลัพธ์ที่จับต้องได้

ดังนั้นท่านไม่ใช่คนธรรมดา…

อย่าให้อะไรหรือผู้ใดมาตีตราว่าท่านเป็นแค่คนธรรมดาๆ และอย่ายินดีที่ได้เป็นคนธรรมดาของใคร

แต่ถ้าบังเอิญโชคร้ายไปเจอสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาเมื่อไหร่ ขอให้รู้ไว้ว่าท่านสามารถกลับมาหาเราได้เสมอ OHMPIANG จะทำให้ท่านรู้สึกเป็นคนพิเศษเอง

ด้วยรักและเคารพ
เจษ ธีระธรณ์