ถ้ายังไม่รู้จักกฏ 80 / 20 อันนี้คือ นิยามคร่าวๆ

===

กฏ 80/20 หรืออีกชื่อนึงคือ The Pareto Principle ระบุไว้ว่า

ในหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประมาณ 80% ของสิ่งที่เกิดขึ้น มาจากผลของการกระทำเพียง 20% เท่านั้น

=== 

ยกตัวอย่างที่มีคนพูดบ่อยๆให้เห็นภาพง่ายขึ้น

80% ของผลลัพธ์ที่ เกิดขึ้นในธุรกิจเกิดจาก 20% ของการทำงานเท่านั้น

80% ของยอดขาย เกิดจาก 20% ของจำนวนพนักงานขายที่ออกไปลุยจริงๆเท่านั้น

80% ของงานในองค์กร เกิดจาก 20% ของพนักงานที่มีทั้งหมดเท่านั้น

และอีกมากมายที่ต้องพยักหน้าตามทุกครั้งที่ได้ยิน หรืออ่านเจอ

แต่มันยังมีกฏ 80/20 ที่ไม่มีใครพูดถึงแล้วมันทรงพลัง กระแทกใจ และกระตุกต่อมบรรลุได้ง่ายๆ อย่าง

80% ของรายได้ที่เกิดขึ้น เกิดจาก 20% ของจำนวนลูกค้าที่มีทั้งหมด

80% ของงานที่เกิดขึ้นแล้วทำเงินได้ เกิดจาก 20% ของเวลาในการคิดงาน

80% ของรายได้ทำออนไลน์ เกิดจากการทำงานตรงจุดเพียง 20% เท่านั้น

80% ของสินค้าที่มี มีที่กลุ่มเป้าหมายต้องการจริงๆเพียง 20% เท่านั้น 

และอันที่ผมคิดว่ามันโดนมากๆ (ฟังมาจากบทสัมภาษณ์เมื่อนานมาแล้ว)

80% ของแบรนด์ที่กลุ่มเป้าหมายของท่านรู้จัก มีเพียง 20% เท่านั้นที่สนใจจะแก้ปัญหาของลูกค้าจริงๆ

ผมฟังแล้วบรรลุพอควร เพราะถ้ามันเป็นจริง (และมันเป็นจริง) แปลว่า มันมีช่องว่างให้เริ่มธุรกิจใหม่ๆสนุกๆได้ตลอดเวลา

แต่ก็นะ…

80% ของธุรกิจเกิดใหม่ มีเพียง 20% เท่านั้นที่เริ่มจากความพยายามในการแก้ปัญหาให้กลุ่มเป้าหมาย

และนั่นก็คือ สาเหตุหลักที่ส่วนใหญ่ไม่รอดตั้งแต่ปีแรกในการเริ่มต้นธุรกิจ

สำหรับวิธีในการเอาตัวรอดที่เหลือ รวมถึงกฏ 80/20 เล็กๆในการทดสอบกลยุทธ์การตลาด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> https://ohmpiang.com/21ways/

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

แฟนพันธุ์แท้ และสมาชิก THE OHMPIANG LETTER คุณแฮม ส่งนกพิราบมาบอกว่า

===

พี่เจษรู้ไหม สมัยผมเด็กๆ เวลาผมอ่านหนังสือ แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ผมจะค่อยๆ บรรจงอ่านทีละบรรทัด ด้วยความตื่นเต้น ตั้งแต่หน้าที่ถัดจากหน้าปก จนถึงหน้าปกสุดท้าย และจะรู้สึกเหมือนดูละครที่กำลังสนุกมาก แต่ไม่อยากให้ละครจบ

E-Book พี่ก็เช่นกัน แต่ของพี่ผู้อ่านสนุกและได้เงิน

แค่บทเรื่องคุมค่าใช้จ่ายก็ได้เงินคืนแล้วพี่ ตอนนี้ผมมาช่วยที่บ้านทำงาน หนังสือพี่นี่อ่านแค่พาร์ทเดียวเองใช้ได้เลย ผมประเมินคร่าวๆ ว่า ค่าใช้จ่ายจะเหลือ 3 แสนกว่า ทันทีนะพี่ ประหยัด ไป ปีละเกือบ 700,000 เลยนะพี่!

โหดไม่โหดล่ะพี่ e-book พี่เจษ ผมชอบมาก จริงของพี่ เหมือนตอนที่คุยกับพี่ 1 (คนใน podcast) ธุรกิจเริ่มใหม่ ทำไมต้องโฟกัสสเกล… ทั้งๆ ที่ควรจะทำตัวเองให้ดีเสียก่อน สร้างผลลัพธ์ให้ได้มากๆ ก่อน 

ดูดิพี่ บทเดียว เรื่องรายจ่าย ผมได้ กี่เด้ง แล้วเนี่ยครับ

ขอบคุณครับพี่. บางคนอาจจะมองเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับพ่อแม่ผม เขาไม่รู้เรื่องเลยต่างหาก รับราชการทั้งคู่ ผมก็ใช้วิชาที่พี่ให้ มาช่วยท่าน ครับ. ได้บุญพร้อม ได้เงินด้วย

ถ้ามีผลลัพธ์เพิ่ม ขออนุญาต อัพเดทให้ฟังนะครับพี่

=== 

นอกจากรีวิวที่ผมชอบมากๆแล้ว คุณแฮมยังพูดกับผมอีกประโยคหนึ่งที่สรุป E-Book 21 วิธีเอาตัวรอดอย่างผู้ชนะในปีแรกของการเริ่มต้นธุรกิจไว้ทั้งเล่มในประโยคเดียวได้ดีมากๆ

เขาบอกว่านี่เป็น “ศีลทั้ง 21 ข้อสำหรับคนเริ่มต้นธุรกิจ”

เริ่มต้นรักษาศีลของท่านเพื่อชีวิตที่สุข สงบ สดใส และซาบซ่านได้วันนี้
 >> https://ohmpiang.com/21ways/

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

ผมยังจำความรู้สึกวันที่ขึ้นเวทีใหญ่เวทีแรกที่พูดเรื่อง “การตลาด” ในไทยได้ เวทีนั้นขึ้นร่วมกับนักพูดระดับประเทศหลายคน มีเจ้าของธุรกิจเข้าฟังเกือบๆ 300 คน

และที่จำได้แม่นยิ่งกว่าคือ สีหน้าของผู้ฟังวันนั้นตอนที่ผมบอกว่า

===

สิ่งที่โง่ที่สุดที่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กชอบทำและเป็นความผิดพลาดมหันต์คือ ทำการตลาดเลียนแบบแบรนด์ใหญ่ 

===

นึกภาพเวทีแรก… มึงเป็นใครก็ไม่รู้… ออกมาพูดแบบนั้นต่อหน้าเจ้าของธุรกิจประมาณ 300 คน

บางคนยิ้ม บางคนหัวเราะ บางคนหน้านิ่งๆ บางคนหน้าคว่ำไปเลย และบางคนก็ทำหน้า ห๊ะ! 

เพื่อให้มันซี๊ดมากขึ้น คนที่ขึ้นเวทีก่อนผมคือ ระดับหัวๆของฝ่ายการตลาดของแบรนด์ใหญ่แบรนด์หนึ่ง ที่ผมมั่นใจว่าคนเกินครึ่งห้องมาเพื่อฟังเขาแบ่งปัน

และก็มาเจอมนุษย์ถ้ำไร้หัวนอนปลายเท้าขึ้นไปพูดว่า “ถ้ามึงกำลังคิดจะเรียนวิชาการตลาดจากแบรนด์ใหญ่ๆ ในขณะที่มึงตัวเล็กๆ มึงกำลังคิดผิดแล้ว”… 

เป็นประสบการณ์ที่สุดยอดมากๆสำหรับผม เพราะผมสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตพอประมาณ

แต่ผมมีเหตุผลดีพอที่จะพูดแบบนั้น และก็เหมือนเตี๊ยมกันมา Guest คนที่ขึ้นถัดไปก็ยกขึ้นมาพูดซ้ำ และบอกว่า เขาเห็นด้วย ด้วยเหตุผล 3 ประการด้วยกัน

1. ไม่มีใครรู้ว่าแบรนด์ใหญ่ทำการตลาดแคมเปญนั้นๆไปเพื่ออะไร แต่ธุรกิจขนาดเล็กควรเน้นยอดขายและแน่นอนกำไรเป็นหลัก

2. ไม่มีใครรู้ว่าแบรนด์ใหญ่จ่ายเงินไปเท่าไหร่เพื่อให้ออกมาในรูปแบบที่เราเห็น และผมมั่นใจว่าธุรกิจขนาดเล็กน้อยธุรกิจจะจ่ายไหว

3. ขึ้นชื่อว่าแบรนด์ใหญ่ ทุกคนคือฟันเฟืองซี่เล็กๆ ไม่มีใครเป็นพระเอกทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว และส่วนใหญ่มดงานตัวจริงจะไม่มีคนรู้จักหรือเชิญออกสื่อ

4. ความเสี่ยงที่แต่ละคนแบกไว้มันไม่เท่ากัน เวลาธุรกิจขนาดเล็กลงเงินทำการตลาด นั่นแปลว่า กำลังควักเนื้อตัวเอง แต่สำหรับแบรนด์ใหญ่ๆ น้อยครั้งที่จะเป็นเช่นนั้น

คำถามคือ แล้วจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่แบรนด์ใหญ่ๆทำอย่างไรให้คุ้มค่ามากที่สุด? 

คำตอบของผมคือ

=====

เรียนรู้ว่าเขาทำยังไง ถึงได้เป็นแบรนด์ใหญ่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ทำตามสิ่งที่เขากำลังทำอยู่

=====

ผมมั่นใจว่า กว่าที่เขาจะเป็นปลาฉลามกันได้อย่างทุกวันนี้ วันแรกๆเขาไม่ได้ทำตัวแบบปลาฉลามแน่นอน

พวกเขาเริ่มกันเล็กๆ ค่อยๆสร้าง ค่อยๆสะสม ค่อยๆโต 

พวกเขาไม่รีบออกมาป่าวประกาศว่า ข้าคือปลาฉลาม ทั้งๆที่ยังเป็นปลานีโม่อยู่ (ปลานีโม่ไม่ดูน่าขำ ก็น่ารัก ไม่ก็น่ากิน แต่ไม่ได้ดูน่ากลัวแน่นอน)

เส้นทางสู่การเป็นปลาฉลามของท่านยังอีกยาวไกล เหตุผลเพิ่มเติมว่าทำไมถึงไม่ควรทำการตลาดเลียนแบบแบรนด์ใหญ่รออยู่ในบทที่ 13 ของ E-Book : 21 วิธีเอาตัวรอดอย่างผู้ชนะในปีแรกของการเริ่มต้นธุรกิจ

อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://ohmpiang.com/21ways/

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

ประมาณ 6 ปีก่อน ผมได้รู้จักกับนักธุรกิจไฟแรงท่านหนึ่ง ผ่านการแนะนำของลูกค้าท่านนึงที่บอกว่า “เพื่อนพี่ชวนทำธุรกิจ เจษไปช่วยฟังหน่อย”

จุดนับพบคือ ออฟฟิศใหม่สุดหรูใจกลางเมือง วินาทีที่เดินเข้าประตูผมนี่เดินตัวลีบเข้าไปเลย เพราะมันไฮโซมาก

ห้องประชุมก็อลังการ บรรยากาศก็ดีงาม มันสุดจนผมหวนนึกถึงออฟฟิศ Google ที่เคยเห็นใน Google ยังไงยังงั้นเลย

พนักงานก็ดูดี 80% เป็นวัยรุ่น ทุกคนยิ้มแย้มหัวเราะกันคิกคักราวกับไม่มีความเครียดใดๆในชีวิต

หลังจากรอไม่ถึง 5 นาทีนักธุรกิจไฟแรงท่านนั้นก็เข้ามาในห้อง และการพูดคุยก็เริ่มขึ้น

เล่าเรื่องน่ากลัวให้มันสั้นเข้า เขาได้เงินจากที่บ้านมาประมาณ 10 ล้านบาทเพื่อมาเริ่มธุรกิจสายเทคโนโลยี ความฝันของเขาคือการสร้างเทคโนโลยีที่จะมา Disrupt ตลาด

แต่ปัญหาคือตอนนี้เงินเริ่มหมดแล้ว เขาจึงเปิดระดมทุนจากเพื่อนและคนใกล้ตัว

ผมนั่งฟังไป เคลิ้มไป กับวิสัยทัศน์ และทรัพยากรเทพๆที่เขามี ผ่านไปประมาณ 30 นาที (11.30 น.) ผมเห็นพนักงานทุกคนเริ่มปิดไฟและทยอยเดินออกไปพักเที่ยง

ผมเอ๊ะนิดนึง เลยถามว่า “พี่ให้พนักงานพัก 11.30 น. หรอครับ?” 

เขาตอบว่า “เปล่านะ ให้พักตอนเที่ยง แต่คงไม่มีอะไรทำกันมั้ง เลยลงเร็ว”

ผมไม่ได้ถามต่อ แต่ตอนนั้นสัญชาติญาณมนุษย์ถ้ำเริ่มทำงานพร้อมๆสติที่เริ่มกลับมา

“พี่ต้องการเงินเพิ่มอีกประมาณเท่าไหร่ครับ?” 

“น่าจะ 30 ล้านนะ”

“พี่เปิดออฟฟิศตรงนี้มานานกี่ปีแล้วครับ?” 

“เพิ่ง 3 เดือนเอง ก่อนหน้านั้นตกแต่ง ไอ้ 10 ล้านที่ได้มาก็เกือบหมดไปกับตรงนี้แหละ ค่าเช่า ค่าตกแต่ง ค่าจ้างคน”

ชิ้งงง… (อารมณ์ผมตอนนั้นจริงๆ) 

“ถามได้ไหมครับว่า ตอนนี้สินค้าตัวไหนขายดีที่สุด?” 

“มันมีหลายตัวมากเลยที่ทีมกำลังนั่งระดมสมองกันอยู่”

“ไม่เป็นไรครับ เอาอันที่ขายอยู่ตอนนี้ก็ได้”

“ที่น่าจะขายดีหรอ?” 

“ที่ขายดีครับ ที่ขายได้แล้ว?” 

“ยังไม่มีเลยน้อง”

ผมยิ้มแห้งๆ เริ่มนั่งไม่ค่อยสุข แต่ก็ทำใจดีสู้เสือต่อ

“แล้วตอนนี้มีลูกค้าบ้างหรือยังครับ?” 

“ยังเลย เลยต้องเปิดให้คนมาลงทุนไง จะได้เริ่มมีลูกค้า”

ชิ้งงงงงง… (ภาค 2 มี ง.งูเพิ่มมา 3 ตัว)

ผมคงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่า ผมแนะนำลูกค้าของผมไปว่ายังไง… 

เพราะสุดท้ายภายในไม่ถึง 5 เดือนหลังจากที่คุยกัน บริษัทนี้ก็ปิดตัว และเรื่องของนักธุรกิจไฟแรงคนนี้ก็เป็นต้นเหตุให้ผมเขียน E-Book เล่มนึงที่ชื่อ

“21 วิธีเอาตัวรอดอย่างผู้ชนะในปีแรกของการเริ่มต้นธุรกิจ”

เขามีครบทุกอย่าง ตั้งแต่สำนักงานสวยๆ เงินทุนก้อนใหญ่ ทีมงานเทพๆ (เทพจริง บางคนผมยังคุยอยู่เลย) แต่สิ่งที่เขาไม่มีคือ ลูกค้า และที่มันน่าเศร้า… สินค้าและแผนการสร้างสินค้า

ตอนแรกกะจะตั้งชื่อว่า “21 สิ่งที่ผมอยากจะเตือน หากมีทุกอย่างครบ แต่ลืมไปว่าธุรกิจมึงต้องมีรายได้”

แต่ก็ต้องเจียมตัวไว้เพราะเราเป็นเพื่อนกันบน Facebook 

เอาเป็นว่าทุกอย่างที่ผมอยากจะพูดในห้องประชุมวันนั้นอยู่ใน E-Book เล่มนี้

อ่านรายละเอียดได้ที่ >> https://ohmpiang.com/21ways/

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

เมื่อวานผมคุยกับภรรยาว่าปีนี้ผ่านไปเร็วมาก แป๊บๆครึ่งปีแล้ว ยังรู้สึกเหมือนต้นปีอยู่เลย

“เวลา” ช่างเป็นสิ่งที่น่ากลัวและประมาทไม่ได้จริงๆ

ด้วยเหตุนี้ผมตัดสินใจที่จะทำให้เดือนแรกของครึ่งปีหลังมีความพิเศษมากขึ้นสำหรับสมาชิกที่ต้องการจะลุกขึ้นมาฮึดเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในธุรกิจของตัวเอง

เดือนที่แล้วผมได้รับเชิญจากสมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai (maiA) ให้ไปคุยเรื่อง “Data Mining”

คนที่ติดต่อให้ผมไปพูดเรื่องนี้คือ คุณทรงพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TV Direct ผู้คร่ำหวอดในวงการ Direct Marketing และ Copywriting ด้วยเหตุผลเดียวคือ “ไม่มีใครพูดเรื่องนี้ได้ดีไปกว่า Direct Response Copywriter อีกแล้วเพราะ Copy จะสำเร็จได้ต้องใช้ Data เป็น”

ผมไม่เคยคิดในมุมนี้มาก่อน บอกตรงๆว่าที่ผ่านมาพยายามไม่แตะคำว่า Data หรือ Data Mining หรืออะไรเทือกนั้นเลยเพราะมันฟังดู ยาก เยอะ และเหนื่อย แต่โชคดีที่เป็นอีกครั้งที่ผมคิดผิด เข้าใจผิด และมีคนมาชี้ทางสว่างให้ว่า เฮ้ยๆ ที่ผ่านมาเอ็งใช้ Data ทำงานมาตลอดไม่ใช่หรอฟะ

ผมรับคำเชิญและเริ่มเตรียมตัวเพื่อไปพูดทันที (ต้องเตรียมเพื่อรักษาหน้าตาของคนเชิญและคนที่ฟังเป็น CEO / CFO / COO และ Founder ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เกือบ 30 คน) 

ตลอดเวลาที่ตกผลึกประสบการณ์ที่ผ่านมาเพื่อเตรียมไปพูด ความรู้สึกเดียวที่ผุดขึ้นในใจคือ บรรลุ…

ที่ผ่านมาผมใช้ Data Mining ในการเขียน Copywriting และให้คำปรึกษามากกว่าที่ผมคิด

Copy ทุก Copy

หัวข้อ ทุก หัวข้อ

ข้อเสนอ ทุก ข้อเสนอ

กลยุทธ์ ทุก กลยุทธ์

สคริปต์การขาย ทุก สคริปต์

ทุกอย่างที่ผมทำแล้วสำเร็จล้วนเกิดขึ้นจากการรวบรวมและวิเคราะห์ Data ที่มีทั้งสิ้น รวมไปถึงหลายเคสที่ผมให้เครดิต ญาณพิเศษของมนุษย์ถ้ำด้วย เพราะความจริงคือ ญาณมนุษย์ถ้ำบังเกิดเมื่อมี Data มากพอ

สิ่งที่ผมอยากจะบอกท่านคือ

=====

ผมค้นพบวิธีง่ายๆที่ใครก็ตามสามารถเริ่มใช้พลังที่แท้จริงของ Data Mining ได้ทันที ไม่สำคัญว่าตอนนี้จะมีธุรกิจของตัวเอง หรือทำงานประจำ หรือเป็นฟรีแลนซ์ตัวเล็กๆ ไม่สำคัญด้วยว่าที่ผ่านมามีการเก็บ Data อะไรเอาไว้มากน้อยแค่ไหน

=====

คำๆเดียวที่เพิ่มคนเข้าเวบไซต์จากเดือนละ 20,000 เป็น 500,000 และเปลี่ยนปลาเล็กเป็นปลาวาฬมาจากการทำ Data Mining

กลยุทธ์ที่ใช้เริ่มต้นธุรกิจสปาระดับพรีเมี่ยมและสร้างยอด 50 ล้านบาทด้วยจดหมายฉบับเดียวมาจากการทำ Data Mining

การตัดสินใจที่ช่วยขยายสาขาเชนร้านอาหารพร้อมลดต้นทุนวัตถุดิบเกือบ 45% มาจากการทำ Data Mining

หัวข้อ Copy ที่ช่วยเปิดตัววงการ Startup และปฏิวัติวงการอสังหาริมทรัพย์เมื่อ 7 ปีก่อนก็มาจากการทำ Data Mining

ด้วยเหตุนี้เองผมตัดสินใจที่จะทำคอร์สออนไลน์ใหม่เกี่ยวกับ Data Mining ซึ่งจะกลายเป็น Signature เช่นเดียวกับ OHMPIANG SECRET COPYWRITING และท่านเป็นคนแรกที่รู้เรื่องนี้

อีเมลบางฉบับที่ผมส่งในเดือนกรกฎาคมนี้จะเปิดประตูลับที่มันพิเศษมากๆให้ท่าน ประตูสู่โลกของ Data Mining แบบง่ายๆที่จะเปลี่ยนธุรกิจของท่านไปตลอดกาล

ประตูบานนี้จะมีแค่ท่านเท่านั้นในฐานะสมาชิกอีเมลรอบกองไฟที่เข้าได้และมันจะเปิดไม่ถึง 24 ชม.หลังจากที่ท่านได้รับอีเมล

คำแนะนำคือ หลังจากนี้เช็ค Inbox ของท่านทุกวัน เพราะเชื่อเถอะว่าท่านไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้

ขอให้ครึ่งปีหลังจากนี้เป็นการเดินทางที่สนุก ตื่นเต้น และเร้าใจนะครับ

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์

ช่วงนี้เหมือนแอด Facebook จะกลับมาผันผวนอีกรอบ สังเกตได้จากเสียงโอดครวญที่อยู่ตามหน้า Feed แต่คำถามคือ มีอะไรเป็นเรื่องใหม่บ้าง?

ปีที่แล้วสมาชิก The Ohmpiang Letter และแฟนพันธุ์แท้ของ OHMPIANG ที่กำลังลุยในธุรกิจแดงเดือด ส่งนกพิราบมาบอกว่า

===

เพราะคอร์ส OHMPIANG SECERT COPYWRITING ของคุณเจษ ทำให้ผมได้กำไร 10 ล้านบาท

ผมทำการตลาดเองก่อนจะมาเจอคุณเจษ ตอนแรกๆขายได้ แต่ทำไปเกิดปัญหาเรื้อรัง การตลาดถูกปรับหลายรอบ ทั้งเพิ่มงบ และลองจ้างเอเจนซี่มาทำแทน แต่สุดท้ายก็ยังปิดไม่ได้ ลูกค้ามาน้อยมาก เป็นเรื่องคาราคาซังมานานจนผ่านไปรวม 6 เดือน

จนผมได้มาลองใช้วิธีตามหนังสือและคอร์ส Copywriting ของคุณเจษ

ผมใช้เงินบูสโพสวันละ 300 บาท และทดลองปรับเนื้อหาเล็กน้อยตาม The Letter Vol. 4 ใช้เวลาไป 7 วัน รวมเงินบูส 2,000 กว่าบาท

ผลลัพธ์นี้ ทำกำไรให้ผม 10 ล้าน เมื่อเทียบกับค่าบูสคือ 4,762% (ผมกดจนมึนว่าคิดถูกมั้ย)

(จริงๆ ผมเพิ่มเรียน Copywriting ถึงแค่ Module 4 และการบ้านก็ยังไม่เริ่ม)

ขอบคุณการแบ่งปันวิธีที่สุดยอดให้ผมนะครับ ขอบคุณจากใจ

===

ผมว่ามันไม่ใช่แค่ 4,762% นะ แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญในเรื่องนี้ สาระสำคัญคือ ปัญหาที่เขาเจอเมื่อปีก่อน มันไม่ได้ต่างอะไรเลยกับปัญหาที่หลายคนกำลังเจอ

ค่าแอดแพง Facebook ปรับอะไรต่อมิอะไรวุ่นวาย บัญชีโดนปิด ลองไปจ้างเอเจนซี่ก็ผิดหวัง

สำหรับผมมันคือ วงจรชีวิตของเจ้าของธุรกิจที่พึ่งพา Facebook เป็นหลัก

ผมไม่ได้บอกว่า มันคือความเสี่ยงที่พึ่งพา Facebook ช่องทางเดียว (จริงๆมันก็เสี่ยงแหละ แต่นั่นไม่ใช่เจตนาของประโยคนี้) แต่ผมจะบอกว่า ถึงจะเสี่ยงและไม่ควรแค่ไหนแต่ถ้าใส่ Copywriting เข้าไปในสมการ ทุกอย่างจะดูพาสเทลขึ้น

ถ้าจะให้ผมสร้างสมการสำหรับเคสนี้ขึ้นมา สมการจะหน้าตาแบบนี้

=====

(เศรษฐกิจแย่ + สภาวะค่า Ad แพง + การตลาดมีปัญหาเรื้อรัง + ธุรกิจอยู่ใน Sector ที่ขาลงและแดงเดือด + เป็นเจ้าไม่ใหญ่ + เจ้าใหญ่ดุแถมทุนหนา) + Copywriting สไตล์มนุษย์ถ้ำ = กำไร 10 ล้านบาท

=====

บ้าบอไปแล้ว…

นี่เป็นอีก 1 เคสจากหลายสิบเคสที่ใช้เงินวันละ 300 บาทที่ใครๆก็ดูถูกสร้างยอดหลักแสนไปจนถึงหลักสิบล้าน

ยังมีเคสอีกมากที่ผมไม่ได้เล่าที่ผลลัพธ์โหดมากๆ เพราะกะเก็บเอาไว้ใช้ตอนที่คอร์สขึ้นราคาแล้ว

ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องวันละ 300 บาท ผมริเริ่มยิงแอดวันละ 300 บาทเพื่อควบคุมความเสี่ยง ก็ไม่นึกเหมือนกันว่ามันจะกลายเป็น Magic Number สำหรับหลายๆคน

เอาเป็นว่าถ้ากำไรแบบนี้จากธุรกิจแดงเดือด ถ้าผลลัพธ์แบบนี้ในสภาวะค่า Ad แพง ฟังดูโอเคสำหรับท่าน

วันนี้วันสุดท้ายแล้วก่อนที่คอร์ส Signature ของผม OHMPIANG SECRET COPYWRITING จะปรับราคาขึ้นเป็น 45,000 บาทอย่างที่ควรจะเป็นนานแล้ว

อ่านรายละเอียดและสมัครได้ที่
>> https://ohmpiang.com/ohmpiang-secret-copywriting/

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์