ช่วงนี้ผมกลับมาอ่านหนังสือเยอะมากและได้มีเวลาตกผลึกอะไรหลายๆอย่างเยอะขึ้น Content มันเลยเยอะแข่งกับ Harry Maguire กองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกของทีมปิศาจแดง Manchester United อยู่หน่อยๆ
เอาแค่ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ในขณะที่กำลังแปล My Life in Advertising ของ Claude Hopkins หลังส่งต้นฉบับ The Richest Man in Babylon ไปทำเป็น Visual Book ผมอ่านหนังสือจบไปอีก 2 เล่ม
ทั้ง 2 เล่มพูดคล้ายๆกันว่าคนประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ยอมรับว่าพวกเขา
1. ถูกหัวเราะเยาะ ถูกวิจารณ์ ถูกล้อเลียน ถูกบั่นทอน และถูกนินทาทั้งต่อหน้าและลับหลังในสิ่งที่เขาทำแล้วสำเร็จ
2. ทุกอย่างที่พวกเขาทำได้ดีมากๆ จุดเริ่มต้นมันเลวร้ายมากๆ
มีมหาเศรษฐีคนหนึ่งถึงกับยึดเอาเรื่องนี้เป็นคติประจำใจเลยว่า ถ้าเริ่มต้นทำอะไรแล้วราบรื่น ไม่มีอุปสรรค ทุกอย่างเป็นใจ ธุรกิจนั้นเละแน่นอน
เพราะจากประสบการณ์ของเขา ทุกอย่างที่เขาทำแล้วประสบความสำเร็จระดับสูงมีจุดเริ่มต้นที่หายนะทั้งสิ้น.หลายอย่างเขาเริ่มต้น ล้มเหลว พักใจไปปีนึงกลับมาทำใหม่แล้วสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
หลายอย่างเลียแผลใจพอตกสะเก็ดแล้วลุยเลยก็สำเร็จแบบอลังการ
ผมอ่านแล้วก็นั่งสะท้อนกับตัวเอง
ผมถูกฝังหัวมาตลอดเวลาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยโดยคนรอบตัวว่างานขายเป็นงานที่ต่ำต้อยไร้ศักดิ์ศรี เป็นงานของคนที่หน้าด้าน และเจ้าเล่ห์
ผมใช้เวลาอยู่นานกว่าจะก้าวข้ามตรงนี้ได้ ขอบคุณอำนาจของเงินที่รุนแรงมากพอที่จะช่วยให้ผมก้าวข้ามทุกอย่างเข้าสู่โลกของการขาย
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ราบรื่นเลย ถ้าท่านเคยฟังเรื่องราวของผมจะรู้เลยว่า อีกนิดเดียวผมจะถูกไล่ออกอยู่แล้ว เพราะอยู่มาตั้ง 5 เดือนกว่าแต่ไม่มียอด ตำแหน่งก็สูง แต่สุดท้ายก็ผ่านพ้นมาได้ และการขายก็เป็นเรื่องที่ผมทำได้ดีมากๆ
พอมาเรื่องการตลาด อีหรอบเดิมเลย รอบตัวมีแต่คนพูดว่างานการตลาดมันเป็นของคนที่หัว Creative สร้างสรรค์ ไอเดียเลิศเลอ ผมตัดสินทันทีว่าตัวเองไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่ได้ใกล้เคียงเลย แต่ก็อีกครั้ง ขอบคุณอำนาจเงินที่รุนแรงมากพอที่ช่วยให้ผมกระโดดเข้าสู่โลกของการตลาด
เช่นเคยไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ล้มแล้ว ล้มอีก ลองแล้ว ลองอีก สุดท้ายการตลาดก็เป็นอีกเรื่องที่ผมทำได้ดีมากๆ
สุดท้ายที่ชัดเจนมากคือเรื่องการเขียน….
ตลอดเส้นทางการเรียนตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย ผมใช้ภาษาอังกฤษเอาตัวรอดมาตลอด ภาษาอังกฤษผมไม่เต็มก็เกือบเต็มทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการสอบอะไรก็ตามรวมไปถึง TOEFL และ TOEIC แต่แล้วก็มีวิชาหนึ่ง English Writing ที่ไปลงเรียนเป็นเพื่อนชาวบ้าน
ผมได้ C ครับ ได้มาแบบงงๆ ได้มาแบบไม่เชื่อด้วยว่าได้ ไปถามอาจารย์ก็ไม่มีคำตอบ C ตัวนั้นกลายเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตของผมทันที การได้ C ครั้งนั้นทำให้ผมเชื่อหมดใจว่า ผมคงไม่สามารถเอาดีด้านการเขียนได้ แม้ว่าลึกๆผมจะมั่นใจว่ามันต้องมีข้อผิดพลาดก็ตาม
ช่วงแรกๆที่เขียนโพสท์ ทำ Content ไม่มีใครหือ ไม่มีใครอือ ไม่มีใครสนใจแม้แต่น้อย
แต่ด้วยอำนาจของเงินและเรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จด้วยการเขียน ผมเรียนรู้ อ่านหนังสือ และพยายาม จนสุดท้ายวิชา Copywriting ที่ได้รับก็เป็นสิ่งที่ผมภูมิใจมากๆ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยให้ผมมีรายได้เพิ่มขึ้น เวลาเพิ่มขึ้น แต่ยังช่วยให้เจ้าของธุรกิจหลายร้อยถึงอาจจะหลายพันได้รับในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ใครจะไปรู้ บางทีอุปสรรค ขวากหนาม ความล้มเหลวอาจเป็นเงื่อนไขของความสำเร็จก็ได้
มันอาจเป็นบททดสอบที่ขวางกั้นระหว่างท่านกับสิ่งที่ท่านต้องการ เพื่อดูว่าท่านต้องการสิ่งนั้นจริงไหม
ตัวช่วยที่ดีมากๆที่ผมใช้ในการเคลียร์เงื่อนไขและทำบททดสอบเหล่านี้คือ หนังสือ
ทุกบททดสอบของผมไม่ว่าจะเป็นการขาย การตลาด และการเขียน Copywriting ผมผ่านได้ด้วยการอ่านหนังสือเยอะมาก
ทีนี้ผมไม่รู้ว่าบททดสอบของท่านคืออะไร แต่ไม่ว่าบททดสอบนั้นจะเป็นอะไร สิ่งหนึ่งที่จำเป็นมากๆที่จะต้องปรับจูนให้ถูกต้องคือ Mindset
หนังสือ 2 เล่มที่ผมอยากจะแนะนำ เพราะเป็นหนังสือตั้งต้นที่ผมใช้ปรับ Mindset ตัวเองบ่อยที่สุดคือ
The Science of Getting Rich และ
The Power of Your Subconscious Mind
ทั้ง 2 เล่มผมแปลเป็นภาษาไทยไว้เรียบร้อย ด้วยภาษาที่อ่านง่าย และความเข้าใจที่เต็มเปี่ยม
ทั้ง 2 เล่มพร้อมส่งที่ OHMPIANG
ถ้าท่านมีอยู่แล้ว ผมแนะนำให้หยิบขึ้นมาทบทวนเรื่อยๆ แต่ถ้ายังไม่มีสามารถสอบถามทีมงานของผมได้ที่ไลน์ @ohmpiang (ใส่ @ ด้วย)
OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์