หลายต่อหลายครั้งปัญหาหลักของเจ้าของธุรกิจ นักการตลาด นักขาย และ Copywriter ที่เข้ามาติดต่อให้ผมเป็นที่ปรึกษาให้คือ
“ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร”
“ธุรกิจถึงทางตัน”
“หมดมุข”
“รู้สึกทำอะไรก็ติดๆขัดๆ”
และทุกครั้งคำตอบของผมคือ ไม่แปลกครับ ผมก็เคยเป็น อันที่จริงผมว่าคนที่ไม่เคยเป็นคือคนที่ไม่ทำ sjk อะไรเลย ดังนั้นมันเป็นเรื่องปกติมากๆที่นานๆครั้งเราจะติดหล่มอยู่ในกับดัก Mindset แบบนี้
ถ้าตอนนี้ท่านรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มาเจอบทความของผม มันน่าจะได้เวลาแล้วแหละที่จะเอาตัวเองออกจากหล่มนั้น
ผมอยากจะบอกว่า ท่านมีพลังที่จะก้าวต่อไปเสมอไม่ว่าอุปสรรคตรงหน้าจะดูยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม
ในการ์ด The Science of Getting Rich มีอยู่ใบหนึ่งบอกว่า
“เมื่อรู้สึกว่าถึงทางตัน จะมีประตูอีกบานเปิดให้เสมอ”
นั่นเพราะท่านมีทางเลือกเสมอ แม้แต่ตอนที่คิดว่าตัวเองไม่มี
ลองคิดดูสิ ท่านสามารถเลือกที่จะคิดถึงอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ และเป็นอะไรก็ได้ และอย่างที่รู้ๆกันในหนังสือ The Power of Your Subconscious Mind บอกไว้ชัดเจน
“ความคิดที่อยู่ในจิตสำนึกของท่าน เมื่อเติมความเชื่อลงไป จะส่งผ่านไปยังจิตใต้สำนึกที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นจริงขึ้นมา”
รู้อย่างนี้แล้ว เป็นผมจะระวังความคิดของตัวเองให้มาก
ถ้ารู้สึกว่าตอนนี้ถูกทุกอย่างควบคุม ชีวิตนี้เหมือนไม่เป็นของตัวเอง ลองจัดเวลาครับ จัดเวลาไปอยู่กับตัวเอง ถ้าสิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นความจริงที่บอกว่าชีวิตถูกควบคุม ท่านหายไปนั่งสมาธิสัก 7 วันคนหรืออะไรก็ตามที่ควบคุมท่านอยู่ไม่ลำบากหรอกครับ เขามีพลังอำนาจมากพอที่จะควบคุมท่านได้เชียวนะ จะตกม้าตายเพราะท่านขอไปอยู่กับตัวเองจริงดิ
ประเด็นที่ผมอยากจะสื่อคือ ท่านไม่จำเป็นต้องทำสิ่งต่างๆแบบเดิม ไม่จำเป็นต้องถูกพันธนาการโดยอุปนิสัยและความเข้าใจแบบเดิมๆ
บอกกับตัวเองว่า วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชีวิตที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้มากมาย
ต่อไปนี้คือ 5 แนวคิดที่ท่านสามารถใช้เตือนตัวเองได้เมื่อรู้สึกว่ามาถึงทางตัน รู้สึกหมดทางไปต่อ
1. มันเป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้น ไม่ใช่ความจริง
เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกสับสนวุ่นวาย รู้สึกถึงทางตันไปต่อไม่ได้ รู้สึกว่าไม่รู้ว่าจะทำอะไร สัญชาติญาณแรกของมนุษย์คือมองไปรอบๆเพื่อหาแพะ หาต้นเหตุที่ทำให้รู้สึกแบบนี้ หาใครสักคนที่มันทำให้เราเป็นแบบนี้
ความจริงแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นผลลัพธ์จากต้นเหตุที่ท่านสร้าง ทุกอย่างเริ่มต้นจากข้างใน
สำหรับผม ผมคิดว่ามันยากมากเลยที่จะเปลี่ยนหรือควบคุมปัจจัยภายนอก แต่มันง่ายมากที่จะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อสิ่งเหล่านั้น และที่มันน่าสนุกคือเมื่อมุมมองเปลี่ยน สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนตาม
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองและความรู้สึก
2. สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นอดีตไปแล้ว
ท่านไม่สามารถมีวันนี้ที่สดใสได้หากยังคิด กังวล หรือรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
ความคิดอย่าง ฉันน่าจะทำแบบนี้ หรือทำไมเราไม่ทำแบบนี้ หรือทำไมเราทำแบบนี้นั้นแทบไม่มีประโยชน์เลย เพราะทุกอย่างเป็นอดีตไปแล้ว
เรื่องนี้ผมก็มีติดแต่โชคดีที่มีครูบาอาจารย์ช่วย ท่านบอกว่า
“อดีตมันผ่านไปหรือยัง ถ้ามันผ่านไปแล้วเอ็งทำอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม? ถ้าเช่นนั้นก็เรียนรู้ สำนึกผิด และไปต่อ อะไรที่มันไม่ดีก็มุ่งมั่นตั้งใจที่จะไม่ทำอีก”
3. มันคือสัญญาณของความเปลี่ยนแปลง
ผมเป็นคนที่มองหาสัญญาณตลอด ผมถูกสอนให้มองหาสัญญาณที่เกิดขึ้นรอบตัว และบ่อยครั้งความรู้สึกแบบนี้คือสัญญาณชั้นดีที่บอกท่านว่า ได้เวลาของการเปลี่ยนแปลงแล้วนะ สิ่งที่ทำอยู่อาจไม่ได้ผลแล้วนะ
เชื่อเถอะว่า ผมเห็นมาเยอะมาก ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงจะมีสัญญาณพวกนี้ ยิ่งเปลี่ยนแปลงใหญ่สัญญาณจะยิ่งแรงตามกฎ Action = Reaction
4. ให้รู้ไว้ว่าสิ่งที่ต้องทำมันอาจไม่ง่าย แต่มันจะคุ้มค่า
บางทีที่กำลังติดอยู่ หรือติดมานานแล้วแต่ไปต่อไม่ได้อาจไม่ใช่เพราะท่านไม่ได้ยังไม่ได้รับคำตอบ แต่แค่ท่านไม่ชอบคำตอบที่ได้รับก็ได้
ผมรู้นะว่าบางครั้งมันต้องใช้ความกล้าหาญและกำลังใจอย่างมากที่จะยอมรับว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว และต้องการความกล้าหาญและกำลังใจมากยิ่งกว่าที่จะยอมรับความรับผิดชอบที่จะตามมาหลังการเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงและการเติบโตอาจเป็นเรื่องที่เจ็บปวด เป็นทุกข์ แต่ไม่มีอะไรเจ็บปวดมากไปกว่าการตกไปอยู่ในภาวะหลุมดำที่ทำอะไรก็ไม่ขึ้น เดินต่อก็ไม่ได้ หันหลังก็ไม่เจอใครอีกแล้ว
ความจริงคือความจริง ไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ก็ตาม
5. พญามารนามกร “ข้ออ้าง”
ในพระไตรปิฎกมีบอกไว้ว่า ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบรรลุธรรม ด้วยความอิจฉาพญามารพยายามขัดขวางสารพัด ทั้งส่งธิดามารทั้ง 3 นางตัณหา นางราคา นางอรดี ทั้งยกทัพมามืดฟ้ามัวดิน
เช่นกัน เมื่อมาถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม อาจจะเส้นชัยอยู่แค่เอื้อม ท่านจะมีพญามารมาขวางเหมือนกัน แต่มาในรูปของ “ข้ออ้าง” ซึ่งเป็นมารที่มาจากข้างในตัวของท่านเอง
หนึ่งในความจริงที่ขมขื่นคือ
“ถ้าหากท่านต้องการสิ่งใดจริงๆ ท่านจะหาทางให้ได้มันมา หาไม่แล้ว ท่านจะมีแต่ข้ออ้างสารพัดที่มันดูดี”
หยุดหาข้ออ้างที่จะไปต่อได้แล้ว หยุดหาข้ออ้างที่จะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว และเริ่มโฟกัสไปที่เหตุผลที่ท่านต้องไปต่อ เหตุผลที่ท่านต้องเปลี่ยนแปลง
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ ข่าวดีคือ ได้เวลาเปลี่ยนแปลงแล้วครับ
ได้เวลาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองแล้ว
สิ่งมหัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ไม่เกิดขึ้นหรอกถ้าไม่ทำอะไร
ถามจริงเวลาที่เราบนบานอธิษฐานกล่าวขอพร ขอปาฏิหาริย์เนี่ย เราขอใคร?
สมมติว่าขอพระพิฆเนศวร ท่านจะนั่งรอให้ท่านเหาะเอามาให้ หรือเราควรจะดิ้นรนตรากตรำไปรับด้วยมือเรา
เพื่อให้รู้สึกดีขึ้น (หรือเอาเกลือใส่แผลเพิ่มก็ไม่รู้) ข้ออ้างเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็มีครับ แต่ที่บางคนไปต่อได้เพราะเขาหยุดโฟกัสข้ออ้าง หยุดให้คุณค่ามัน และโฟกัสไปที่การก้าวไปข้างหน้า
แต่ถ้าคิดว่าสิ่งที่เจอมันหนักหนามากจนเกินกำลังตัวเอง ผมแนะนำให้หาความช่วยเหลือครับ อย่าไปฝืนหากพยายามมานานแล้ว ผมเองก็เปิดรับความช่วยเหลือหลังจากที่พยายามฉุดตัวเองมา 3 ปี สิ่งที่ผมติดมันเป็นเส้นผมบังภูเขาจริงๆ แต่เพราะมันใกล้ตาไงเลยมองไม่เห็น
คำถามคือ เราพร้อมเปิดรับความช่วยเหลือหรือพร้อมเปิดรับครูบาอาจารย์หรือยัง?
ถ้าพร้อม อีกไม่นานเกินรอท่านจะได้คำตอบ
ขอให้โชคดี
OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์